ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 มิถุนายน 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | เงาตะวันออก |
ผู้เขียน | วรศักดิ์ มหัทธโนบล |
เผยแพร่ |
สหรัฐในยุคที่มีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้นำนี้ทำให้ได้เห็นความรู้สึกนึกคิดของอเมริกันชนได้ชัดขึ้นอีกขั้น ความรู้สึกนึกคิดนี้เป็นอย่างไร ก่อนอื่นต้องดูจากตัวทรัมป์ก่อน
ในความเป็นผู้นำของทรัมป์นับแต่ที่รับตำแหน่งในปี 2017 นั้น เขาได้ทำให้เราเห็นถึงความคิดของเขาผ่านพฤติกรรมต่างๆ หลายเรื่องที่พอสรุปได้ว่า ทรัมป์เป็นคนที่เหยียดสตรีเพศ เหยียดเชื้อชาติ เหยียดผิวสี เหยียดศาสนาอื่น
และเหยียดอะไรอีกมากมายหรืออะไรก็ได้ที่ทำให้เขารู้สึกดีเมื่อได้เหยียดไปแล้ว
ดูจากสิ่งที่ทรัมป์เป็นแล้วจะเห็นได้ว่า ตัวเขาช่างมีคุณวิบัติ (ซึ่งตรงข้ามกับคุณสมบัติ) ที่ต้องตรงกับพวกขวาจัดทั้งก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะหลังสงครามโลกนั้นพวกขวาจัดได้ “วิวัฒน์” ตนเองจนต่างจากอดีตไปไม่น้อย
และทรัมป์ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง
ส่วนที่ว่า สิ่งที่ทรัมป์เป็นทำให้เราได้เห็นความรู้สึกนึกคิดของอเมริกันชนได้ชัดขึ้นนั้น ในที่นี้หมายความว่า เราได้เห็นอเมริกันชนว่ามีอยู่สองกลุ่ม คือกลุ่มที่นิยมชมชอบในสิ่งที่ทรัมป์คิดและทรัมป์เป็น กับกลุ่มที่รังเกียจเดียดฉันท์ทรัมป์แบบสุดๆ ทั้งสองกลุ่มที่คิดเห็นต่างกันนี้มีดีอยู่อย่างคือ ยังไม่ถึงขั้นยกพวกตีกัน
เหมือนจะบอกว่า ใครชอบไม่ชอบอะไรใครค่อยไปว่ากันตอนเลือกตั้งครั้งหน้า
แต่เอาเข้าจริงแล้วมันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น ที่ว่าไม่ง่ายนี้ไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้งที่อย่างไรเสียก็ต้องมีขึ้นในปลายปีนี้แน่นอน แต่เกี่ยวกับว่า การปรากฏตัวของทรัมป์ในฐานะผู้นำได้ทำให้เราเห็นว่าในสหรัฐมีคนที่คิดแบบทรัมป์อยู่ไม่น้อย และหากความคิดแบบทรัมป์คือคิดแบบขวาแล้วก็หมายความว่าคนที่คิดแบบทรัมป์ก็ขวาไปด้วย
เป็นขวาที่อยู่ตรงข้ามกับค่านิยมประชาธิปไตย แต่กลับอยู่ในสังคมประชาธิปไตย
คงด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้ทรัมป์ยังคงเหยียดอะไรต่อมิอะไรไปได้เรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกว่าผิด และพอเหยียดเสร็จแล้วก็จะตามมาด้วยการคุยโวต่อไปว่า ตนประสบความสำเร็จในแทบทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่การแก้ปัญหาโควิด-19 โดยไม่ได้รู้สึกกระดากอายกับตัวเลขที่สะท้อนถึงความล้มเหลวแม้แต่น้อย และที่ไม่รู้สึกก็เพราะได้ “เหยียด” ไปแล้วว่าโรคนี้มาจากจีน เมื่อมาจากจีนก็ไม่ต้องรับผิดชอบมากไปกว่าด่าทอจีนเข้าไว้
กล่าวอีกอย่างคือ ทรัมป์กำลังบอกอเมริกันชนว่า ถ้าไม่ใช่เพราะจีนแล้ว อเมริกันชนก็คงไม่ต้องมาตายเป็นเบือกับโควิด-19 เช่นนี้หรอก
ครับ, ที่ผมบอกว่าทรัมป์พูดไปโดยไม่รู้สึกกระดากอายนั้น ผมพูดด้วยความรู้สึกแบบเราท่านที่มีความคิดอ่านแบบหนึ่งที่ไม่ใช่แบบทรัมป์ แต่กับอเมริกันชนแล้วอาจไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้ โดยเฉพาะกับกลุ่มที่นิยมชมชอบทรัมป์ ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ทรัมป์ทำไปโดยไม่รู้สึกกระดากอายอีกหลายเรื่องจึงมีนัยแฝงอยู่ นั่นคือ เขาทำไปเพราะรู้ดีว่ายังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เห็นด้วยกับเขา แถมยังมีไม่น้อยเสียด้วย
และคนเหล่านี้แหละที่จะเป็นคะแนนเสียงให้แก่เขาในการเลือกตั้งปลายปีนี้
เพราะฉะนั้นแล้ว หากทรัมป์จะได้รับเลือกอีกสมัยหนึ่งก็อย่าแปลกใจ แต่ควรทำใจตั้งรับให้ดีว่า แต่นี้ไปดินแดนประชาธิปไตยต้นแบบอย่างสหรัฐ คือดินแดนที่ถูกยึดครองโดยพวกขวาจัดไปแล้ว นโยบายอเมริกาต้องมาก่อน (America First policy) จะยิ่งถูกชูให้สูงเด่นยิ่งขึ้น คราวนี้อาจไม่ใช่จีนประเทศเดียวที่จะโดนสหรัฐหาเรื่อง แต่อาจมีประเทศอื่นโดนด้วยก็ได้
ว่ากันว่า ความคิดขวาๆ มักจะมาคู่กับความคิดชาตินิยมเสมอ และกรณีนโยบายอเมริกาต้องมาก่อนก็น่าจะสะท้อนให้เห็นอยู่บ้าง แต่ในอีกความรู้สึกหนึ่งผมก็อดคิดไม่ได้ว่า นโยบายนี้ใช่ชาตินิยมแน่หรือ หรือมันเป็นแค่แก้ปัญหาเศรษฐกิจให้สหรัฐหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 ซึ่งจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ฟื้นดีนัก หรือเป็นนโยบายที่สนองตอบต่อกลุ่มทุนใหญ่ที่เป็นเงินถุงเงินถังของทรัมป์
ที่ผมรู้สึกเช่นนั้นก็เพราะผมนำมาเปรียบเทียบกับจีน
คือถ้าบอกว่าจีนมีความคิดชาตินิยมสูงแล้ว ผมจะเชื่อมากกว่ากรณีสหรัฐ เพราะกรณีจีนมีตัวอย่างมากมายที่ทำให้เชื่อเช่นนั้น เริ่มจากความรู้สึกของชาวจีนที่ว่าตนถูกตะวันตกรังแกและคุกคามในช่วงปลายราชวงศ์ชิง (1644-1911) หรือถูกญี่ปุ่นรุกรานจนต้องทำสงครามกันในระหว่างปี 1937-1945 เป็นต้น
ตลอดเวลาดังกล่าวจีนรู้สึกว่าตนถูกดูถูกเหยียดหยามจากนานาประเทศ ในขณะที่ชนชั้นปกครองก็อ่อนแอเกินกว่าจะทำอะไรได้ ต้องปล่อยให้ต่างชาติแล่เนื้อเถือหนังในรูปแบบต่างๆ จนแทบจะสิ้นชาติ กว่าที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะยึดอำนาจการปกครองได้ในปี 1949 จีนก็ถูกต่างชาติย่ำยีไปกว่าร้อยปี
หลังจากนั้น เรื่องราวดังกล่าวก็ถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนบอกเล่าในรูปแบบต่างๆ ยิ่งเป็นตำราประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่ด้วยแล้วการบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ก็ยิ่งเป็นระบบ และถูกผลิตซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาหลายสิบปี จนความรู้สึกชาตินิยมฝังอยู่ในใจชาวจีนไปในที่สุด
และรัฐบาลจีนก็ใช้ประโยชน์จากความรู้สึกนี้อย่างคุ้มค่า
คือใช้จนชาวจีนรู้สึกว่า ถ้าไม่ใช่เพราะพรรคคอมมิวนิสต์จีนแล้วก็ยากที่จีนจะเป็นจีนได้ดังทุกวันนี้
เหตุฉะนั้น หากมีอะไรมากระทบกับวิถีที่จีนเป็นอยู่แล้ว ชาวจีนจะมีความรู้สึกไวพร้อมที่จะตอบโต้ได้ทุกเมื่อ
ยิ่งรัฐบาลด้วยแล้วก็ไม่นิ่งนอนใจ จะทำตัวอ่อนแอดังชนชั้นปกครองในอดีตจะมีแต่เสียกับเสีย
ความรู้สึกชาตินิยมของชาวจีนนี้ดูไปแล้วก็น่าจะดี แต่ผมก็ควรกล่าวด้วยว่า ตอนที่ลัทธิชาตินิยม (Nationalism) ยังไม่เกิดอย่างเป็นกิจจะลักษณะบนโลกใบนี้นั้น ก็ใช่ว่าจีนจะไร้ร่องรอยของความรู้สึกนี้ก็หาไม่ ถึงแม้มันจะไม่ใช่ชาตินิยมอย่างที่เราเข้าใจกันในปัจจุบันก็ตาม
กล่าวคือ แต่ไหนแต่ไรมาแล้วในยามที่จีนมีราชวงศ์ปกครองอย่างเป็นปึกเป็นแผ่นจนเกิดความเจริญรุ่งเรืองนั้น จีนเองก็ดูถูกดูแคลนชนชาติอื่นว่าเป็นพวกป่าเถื่อน (barbarian) ไม่ต่างกับชาวตะวันตกในยุคอาณานิคม และตอนที่ตะวันตกเข้ามายังจีนเพื่อจะทำการค้าขายด้วยจีนก็ไม่ยอมทำ ด้วยไม่อยากสุงสิงกับพวกป่าเถื่อน
จนเรียกได้ว่า นอกจากจีนก็ไม่มีชาติใดจะยิ่งใหญ่เท่าอีกแล้ว
แต่แล้วความรู้สึกนี้ก็บ่อนทำลายจีนเอง กว่าจีนจะยอมรับว่าตะวันตกก็มีอะไรที่เจริญอยู่ไม่น้อย จีนก็พบกับความสูญเสียไปมากมายจากการถูกต่างชาติคุกคามและแล่เนื้อเถือหนัง จนเมื่อจีนยืนอยู่บนขาของตัวเองได้และเจริญก้าวหน้าดังที่เห็น อดีตอันขมขื่นจึงค่อยๆ บ่มเพาะให้ชาวจีนเกิดความรู้สึกชาตินิยมขึ้นมา
ทุกวันนี้ความรู้สึกชาตินิยมของชาวจีนนอกจากจะมั่นคงแล้วก็ยังอ่อนไหวอีกด้วย อย่างหลังนี้ค่อนข้างเปราะบาง
ด้วยบางครั้งเพียงถูกกระตุ้นเพียงแผ่วๆ เท่านั้นก็จะแสดงปฏิกิริยาให้เห็นแทบจะทันที เป็นปฏิกิริยาที่ดูจริงจัง เปิดเผย และแข็งกร้าว
ปฏิกิริยาดังกล่าวอาจเห็นได้จากเหตุการณ์เมื่อปี 2012 ที่มีข่าวว่า ทางการโตเกียวจะซื้อเกาะเตี้ยวอี๋ว์หรือที่ญี่ปุ่นเรียกว่าเกาะเซ็งกากุ ซึ่งเป็นเกาะที่จีนกับญี่ปุ่นกำลังมีข้อพิพาทกันอยู่นั้น
พลันที่ข่าวนี้แพร่ไปถึงจีนก็ปรากฏว่า ชาวจีนในหลายเมืองหลายมณฑลต่างออกมาเดินขบวนประท้วง จนถึงขั้นบุกเข้าทำลายร้านค้า บริษัท โรงงานสัญชาติญี่ปุ่น ทำลายแม้กระทั่งรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น (ที่เจ้าของรถเป็นคนจีน) เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า ชาตินิยมของชาวจีนดูจะเป็นชาตินิยมจริงๆ ซ้ำบางทีก็เลยเถิดไปเป็นลัทธิคลั่งชาติ (Chauvinism) สำหรับบางคนบางกลุ่ม แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐในยุคทรัมป์แล้วก็จะเห็นได้ถึงความแตกต่าง เพราะในกรณีสหรัฐนั้นไม่มีศัตรูคู่อาฆาตในแบบที่จีนเคยมี จะมีก็แต่ศัตรูที่สหรัฐสร้างขึ้นมาหลอกหลอนตัวเอง
สมัยหนึ่งก็คือลัทธิคอมมิวนิสต์ สมัยนี้ก็คือจีน
และหากจะมีอะไรที่ดูเฉียดๆ ชาตินิยมอย่างเช่น การเหยียดผิวหรือการเหยียดเชื้อชาติที่ทรัมป์แสดงให้เห็น เอาเข้าจริงแล้วก็ยังไม่ใช่ชาตินิยมอยู่ดี แต่จะเป็นไปในทางคลั่งชาติ (ชนผิวขาว) เสียมากกว่า ซ้ำร้ายทรัมป์ก็ไม่ได้ “คลั่ง” ในเรื่องที่ว่าเรื่องเดียว แต่ยัง “คลั่ง” ในตัวเองอีกด้วย
ก็ขนาดคุยได้ว่าตนสามารถแก้ปัญหาโควิด-19 อย่างได้ผลก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว
จากที่กล่าวมาทำให้น่าเชื่อว่า หลังโควิด-19 หยุดระบาดแล้ว เราคงได้เห็นวิถีจีนชัดกว่าวิถีอเมริกัน เพราะตั้งแต่อเมริกันชนเจอเข้ากับวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เรื่อยมาจนถึงโควิด-19 นี้ยังไม่เห็นสหรัฐจะไปถึงไหน แม้แต่หลังเลือกตั้งประธานาธิบดีในปลายปีนี้ไปแล้วก็ยังไม่แน่ว่าจะดีขึ้น รู้เพียงว่า ถ้าทรัมป์ได้รับเลือกเข้ามาจริง วิถีของอเมริกันชนที่รักทรัมป์น่าจะหนักข้อยิ่งขึ้น
ถึงตอนนั้นก็คงไม่เพียงเป็นเวรกรรมของจีนเท่านั้น แต่ยังเป็นของโลกด้วย
พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย.63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่