การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ทำไมฉันจึงตกหลุมรัก

…เพียงบัวที่รักของฉัน

นี่คือวันอีกวัน, ริมฟากฝั่ง

ฉันเขียนลบเขียนใหม่อยู่หลายครั้ง

เพราะมุ่งหวังจะส่งผ่านม่านฟ้าถึง

 

คนดี

และนี่คือบทกวีอีกบทหนึ่ง

กลั่นจากใจในส่วนลึก, อย่างลึกซึ้ง

ฉันคิดแล้ว-แล้วฉันจึง…อยากเป็นนักเขียน

 

ฉันพับกระดาษลงใส่ซองจดหมาย ใช้ปลายนิ้วแตะน้ำจากขอบแก้ว เกลี่ยปิดซองเบาๆ ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ทอดตามองดูใบกล้วยป่าที่ฉีกแล่งอยู่ในแรงลม

…เหมือนที่เคยเห็นเสมอในสายตา

เป็นครั้งแรกที่ฉันเขียนจดหมายถึงสองสามหน้าด้วยบทกลอนทั้งหมด

แต่ช่างรู้สึกดีเสียนี่กระไร ในทุกๆ ตัวอักษรที่กลั่นออกไป

ฉันหวังใจว่า เพียงบัวจะชอบมัน

 

เพียงบัวที่น่ารัก

นานเนิ่นนักที่ใจฉันใฝ่เขียน

ทั้งทั้งที่ไม่เคยได้ร่ำเรียน

ส่วนหนึ่งเพราะพากเพียรจะไปพ้น

 

ฉันเห็นความกันดารเมืองบ้านนอก

ท้นกระฉอกเต็มตาคือฝ้าหม่น

เห็นยากไร้ไต่เกลื้อเนื้อตัวตน

เห็นผู้คนเจ็บปวดเสมอมา

 

ฉันก็เป็นคนคนหนึ่งซึ่งยากไร้

เกิดและเติบโตไปอย่างไร้ค่า

แม้มากมายรู้สึกอย่างตรึงตรา

บางครั้งก็อ่อนล้ากว่าแสดง

 

เพื่อนฉัน

วันนี้เป็นอีกวัน, ตะวันแฉ่ง

(ขีดฆ่า)

วันนี้ฉันเห็นดอกตะวันแฉ่ง

สีขาวขาวเอนไหวอยู่ในแปลง

ใกล้กับดอกกุหลาบแดงที่มีหนาม

 

คิดถึงเธอ

อยากจะมอบให้เธอคนงดงาม

(ขีดฆ่า)

คิดถึงเธอ

อยากจะมอบให้เธอจากคนทราม…

 

โธ่เว้ย! ฉันสลัดดินสอออกจากมือ พลางสลัดหัวแรงๆ เหมือนถูกกลั่นแกล้ง พอตั้งใจจะเขียนจดหมายเป็นกลอนอีกสักฉบับ

วันนี้ฉันกลับเขียนไม่ได้…เขียนไปก็ไม่เป็นดั่งใจ เขียนไม่ดีเลย

 

เพื่อนฉัน

วันนี้ฉันเห็นดอกตะวันแฉ่ง

สีขาวขาวเอนไหวอยู่ในแปลง

ใกล้กับดอกกุหลาบแดงดูแสนงาม

 

อยากจะเก็บให้เธอ

แต่อีกใจละเมอก็คอยห้าม

(ขีดฆ่า)

แต่อีกใจละเมอก็หวงห้าม

ที่เป็นอยู่ระหว่างเรายังเฝ้าถาม

(ขีดฆ่า)

ที่เป็นอยู่ระหว่างเรายังงดงาม?

หรือเสื่อมทรามเงียบงันฉันไม่รู้?

 

ฉันนิ่งจ้องดูสมุดกระดาษบนโต๊ะเหมือนของแปลกประหลาด…ใช่จริงๆ ด้วย มันเป็นสิ่งประหลาด

ฉันกำลังคิดว่า มีอะไรผิดพลาดสักอย่าง ในระหว่างการพยายามเขียนบทกลอนในจดหมายฉบับใหม่

หรือเพราะ…ฉันตั้งใจเกินไป และมีสิ่งที่พยายามจะเขียนออกไป อยากให้มันคล้องจองสัมผัสกัน

ฉันอยากลองเขียนแบบมีฉันทลักษณ์ครบถ้วน

แต่เหมือนยิ่งพยายาม กลับยิ่งเขียนไม่ได้

ให้ตายเถอะ!

 

ให้ตายเถอะ

ให้ตายเถอะ! อยู่ไหนแล้ว ตัวหนังสือของฉัน

ที่พวกมัน

เคยเป็นแสงตะวัน แสงดาว แสงเดือน

 

เหตุไฉน

จึงละลายหยดหยาดกระดาษเปื้อน

กระทั่งเห็นพรายพร่าในตาเตือน

ว่าหรือมันจะเลือนไปหมดแล้ว

 

ท่ามแสงสุรีย์

ในดนตรีเพลงไผ่ไหวกอแผ่ว

ฉันจ้องดูอดีตขีดเส้นแนว

ตัวหนังสือเป็นแถวแถวอยู่ไหนนะ

 

ฉันรู้แล้ว! ฉับพลันทันใด ฉันก็สะดุ้งในสิ่งที่อุบัติขึ้นต่อหน้า

ถ้าฉันเขียนโดยอิสระ…ถ้าฉันเขียนโดยไม่ต้องมีฉันทลักษณ์มาเป็นตัวกำกับจนเกินไป ฉันจะเขียนได้คล่องขึ้น อย่างใจมากขึ้น จะมีตัวหนังสือมากมายไหลออกมาจากในหัวของฉันเอง

จริงสินะ! ที่ผ่านมา ตัวหนังสือของฉันจะออกมาเอง โดยไม่ต้องพยายามกับมัน

 

ฉันรู้แล้ว! ฉันรู้แล้วคนดี!

สิ่งสำคัญคือการมีอิสระ!

การได้เขียนโดยใจไร้พันธะ

ปราศจากโซ่เชือกจะล่ามขาเรา!

 

ฉันรู้แล้ว! ฉันรู้แล้วคนดี!

บทกวีคือส่วนหนึ่งของความเศร้า

บทกวีคือตัวตนของคนเรา

บทกวีคือสีเทาในตัวฉัน!

 

ฉันรู้แล้ว! ฉันรู้แล้วจะเขียนอะไร!

ก็แค่ใจเปลื้องเปลือยเปิดเผยมัน

ฉันทลักษณ์เก่าเก่า, คำเหล่านั้น

สิ่งสำคัญคืออะไรในคำเขียน!

 

ตัวหนังสือในกระดาษของฉันไหลละลายไปตามๆ กันทีละบรรทัด ฉันนั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง ข้างโต๊ะไม้สีส้มที่แดดกับลมยังคงลูบไล้ผ่านผิวมันอยู่ทุกวัน

ชีวิตของฉันต่อมา อาจจะเริ่มจากตรงนั้น วันหนึ่งวันนั้น ที่ฉันจ้องมองตัวหนังสือบนกระดาษอย่างอัศจรรย์ใจ

ฉันคิดว่าฉันได้ผ่านไปสู่อีกห้องของความเข้าใจ ฉันค่อยๆ รู้ได้เหมือนการคลี่อ่านอีกจดหมายในอกตัวเอง

…ฉันจะเป็นนักเขียนเพื่ออะไร

ฉันกำลังจะออกเดินทางครั้งใหม่

และทรัพย์สมบัติที่มีค่ามากมายก็คือตัวฉัน อดีตของฉัน ประสบการณ์ของฉัน

ตัวฉันนี่เอง!

อาจจะไม่ได้ตกผลึกชัดเจนขนาดนั้น แต่เหมือนเป็นวันสุดพิเศษอีกวัน ที่ฉันได้ค้นพบด้วยตัวเองเงียบๆ ว่า

เราควรจะเขียนหนังสือยังไง

เขียนไปทำไม

และทำไมฉันจึงตกหลุมรักคนที่ทำให้ฉันอยากจะเขียน เขียน เขียน

 


พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย.63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่