กาละแมร์ พัชรศรี : ฉันกำลังทำสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิต

บอกเลยว่าไม่มีอะไรท้าทายตัวเองไปกว่า “เอาชนะใจตัวเอง” ให้ได้ค่ะ เพราะมันชวนที่จะให้เรายอมแพ้ได้ทุกๆ วินาที

สำหรับฉันแล้วการได้แข่งขันกับตัวเองเป็นสิ่งที่ชอบมากที่สุด เพราะเรารู้จักตัวเองดีที่สุด รู้จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเองดีที่สุด รู้ว่าเวลาไหนควรใช้ไม้แข็ง เฆี่ยนตี จิกหัวตัวเอง และเวลาใดควรใช้ไม้อ่อนโอ้โลมปฏิโลมตัวเองให้ลุกขึ้นมาสู้

ภารกิจในการเอาชนะใจตัวเองให้ได้ล่าสุดคือ “การภาวนา”

การเป็นเราในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดทั้งร่างกายและจิตใจเพื่อให้เป็นสมาชิกของโลกมนุษย์อย่างเต็มภาคภูมิ เราสามารถฝึกฝนมันได้ คล้ายเหล่าจอมยุทธ์ที่ต้องฝึกวิทยายุทธ์

เราไม่ได้จะเป็นจอมยุทธ์เพื่อเข่นฆ่าใครหรือจะครองโลก หรือต้องให้คนเคารพนับถือกราบไหว้บูชา แต่เราทำเพื่อตัวของเราเองและส่งต่อมันให้คนอื่น

แต่ถ้าเรายังทำไม่ได้ เราก็ส่งต่อให้ใครไม่ได้เช่นกัน

ฉันหมั่นทำทาน รักษาศีลและเจริญภาวนาให้เป็นกิจวัตรประจำวัน ด้วยความเมตตาของครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง ที่ฉันต้องเอ่ยชื่อครูนั้นเพราะครูคือผู้เคี่ยวเข็ญ ติดตาม ถามไถ่ ฉุดดึงให้เหล่านักเรียนมาปฏิบัติภาวนากันให้สำเร็จ เพราะลำพังตัวเอง หรือคนไม่กี่คน หันมามองหน้ากัน มีไหมที่จะพยักหน้าใส่กันแล้วบอกว่า “ไปเราไปนั่งสมาธิเดินจงกรมกันเถอะ”

เพราะที่ผ่านมาเรามีแต่ไปกินข้าว เที่ยวเล่น นั่งคุยกันสนุกสนาน แต่ไม่ยอมลุกขึ้นไปทำเสียที เพราะพ่ายแพ้ต่อความขี้เกียจของตัวเองทั้งสิ้น

ครูถึงต้องจัดตารางเวลาให้ภาวนาทั้งเช้าและเย็น ใครสะดวกเวลาไหนก็มา อย่างน้อยเวลามาก็มีกำลังใจว่ามีครูและเพื่อนๆ ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กันอยู่ “กำลังใจ” จึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่เราจะทำในสิ่งที่ไม่คุ้นเคยและยากยิ่งในชีวิต

ในช่วงเวลาวันที่ 23-26 มีนาคมที่ผ่านมา ฉันได้มีโอกาสไปภาวนาร่วมกับคนอื่นร่วม 800 คน ที่ปราจีนบุรี นำโดยครูอ้อยเช่นเคย

คราวนี้คนไปกันเยอะมาก เห็นคนหนุ่มสาวมาร่วมภาวนากันเยอะมาก รู้สึกดีใจและชื่นชมพวกเขาที่สนใจและคิดได้ตั้งแต่วัยรุ่น

ฉันเองกว่าจะสนใจ กว่าจะรู้เรื่องก็ปาเข้าไป 40 แล้ว แถมยังต้องฝึกฝนฝ่าฟันอีกมาก

การภาวนาแต่ละครั้ง ฉันจะค้นพบสิ่งต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป ในครั้งนี้ฉันละเอียดกับการดูกาย ดูใจ อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับลมหายใจตัวเองมากขึ้น และเห็นว่าสิ่งใดที่เกิดขึ้นแม้แต่ความคิด ความรู้สึกที่คิดว่ามันเป็นของเรา มันก็ไม่ได้เป็นของเรา เพราะเราไม่สามารถบังคับมันได้ดั่งใจเรา แถมเกิดขึ้นแล้วก็ไม่ได้อยู่นาน มันก็หายไปทั้งความคิดดีหรือไม่ดี ความกังวลใจ ความทุกข์ใจ หรือแม้แต่ความดีใจ สบายใจ มันก็เกิดขึ้นแล้วก็หายไป เราแค่รู้แบบกลางๆ รู้ให้เท่าทันมัน

การปฏิบัติภาวนาทั้งเดินจงกรมและนั่งสมาธิตลอดทั้ง 4 วัน เราทำอย่างนี้วนไปวันละ 4 บัลลังก์หรือ 4 รอบเสมอ

แต่หนนี้ฉันต้องตีรถกลับมาทำงานที่รับปากไว้แล้ว 2 งานใน 1 วัน ไม่สามารถเลื่อนหรือยกเลิกได้จริงๆ ฉันจึงต้องรับผิดชอบทำหน้าที่ทั้งทางโลกทางธรรมให้ดีที่สุด ตีรถมาทำงานเสร็จแล้วตีรถกลับไปภาวนาต่อ

แม้จะเหนื่อยบ้าง แต่ฉันกำลังฝึกฝนและเอาชนะใจตัวเองอยู่ ฝั่งมารก็จะมากระซิบบ้างว่า กลับแล้วกลับเลยเถอะ ไม่ต้องกลับไปต่อหรอก นอนเล่นอยู่บ้านให้สบายใจ จะไปให้ลำบากทำไม

แต่อีกฝ่ายก็ต้องเอาชนะมันให้ได้

และแม้แต่ตอนภาวนาเอง ที่มีอาการง่วงบ้าง เหนื่อยบ้าง ปวดบ้าง ก็ต้องคอยเอาชนะมันอยู่เนืองๆ ต้องรู้ให้ทันอาการต่างๆ เหล่านั้น บางทีหลุดคิดลอยไปไกล ก็ต้องรีบดึงสติกลับคืนมา แล้วรู้ว่าเมื่อกี้คิดไปไกลเลยนะ

บางวันง่วงเหลือทน ขนาดเดินจงกรมยังจะเซ เลยต้องขอตัวออกไปล้างหน้า กระโดดตบ ทำท่าโยคะให้เลือดลงหัว จะได้ตื่นและสดชื่น กินน้ำมะนาวบ้าง แม้แต่ตบหน้าและหยิกตัวเองก็ทำมาแล้วทั้งนั้น เรียกได้ว่า “ความง่วง” คือสิ่งที่ฉันต้องสู้กับมันหนักมากในครั้งนี้

และแม้จะปวดหลังในบางทีเพราะอาจนั่งไม่ถูกท่าและนาน ฉันก็ต้องไม่ย่อท้อ สู้กับความปวด เอาสติกลับมาที่ลมหายใจ แยกกายกับใจออกจากกัน ปวดส่วนปวด ซึ่งมันช่วยได้มากและทำให้สงบขึ้น

แม้สิ่งที่ทำจะเป็นเรื่องยากสำหรับฉันที่ชีวิตนี้ไม่เคยทำอะไรอย่างนี้มาก่อน แต่ฉันก็บอกกับตัวเองว่า ฉันจะใช้ความเพียรต่อไป มีวินัยในการฝึกต่อไป ในเมื่อหลายต่อหลายเรื่องเราเคยทำได้แล้ว เพิ่มเรื่องนี้อีกสักเรื่อง เราก็ต้องทำได้

หนังเรื่องนี้ยังไม่จบ ดูกันไปยาวๆ ค่ะ