ขอบคุณข้อมูลจาก | ดังได้สดับมา |
---|---|
ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 31 มีนาคม - 6 เมษายน 2560 |
ผู้เขียน | วิเวกา นาคร |
เผยแพร่ |
จาก อนันต์ เสนาขันธ์ ก็มาถึง พระกิตติวุฑโฒ ทั้งหมดล้วนมี “เป้าหมาย” เพื่อวิพากษ์และโจมตีท่านพุทธทาสภิกขุ
มิได้โจมตีอย่างธรรมดา หากโจมตีอย่างเอาการเอางาน
เพราะหนังสือที่ อนันต์ เสนาขันธ์ เขียนเล่มหนึ่ง คือ หนังสืออันเกี่ยวกับเรื่องราวของ “คอมมิวนิสต์” เรื่องราวของ “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย”
สะท้อนบทบาทของ “ตำรวจ” นักปราบ “คอมมิวนิสต์”
ขณะเดียวกัน บทบาทของ พระกิตติวุฑโฒ คือ บทบาทในการเคลื่อนไหวต่อต้านขบวนการนักศึกษาในห้วงก่อนสถานการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519
มาพร้อมกับคำขวัญ “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป”
ทั้งหมดนี้ย่อมสะท้อนอย่างเด่นชัดยิ่งว่า มุมมองของ “นักปราบ” คอมมิวนิสต์ทั้งหลายต่อท่านพุทธทาสภิกขุเป็นอย่างไร
นี่คือ กลิ่นอายตกค้างของยุค “สงครามเย็น”
อาจเป็นเพราะยุคหนึ่งสมัยหนึ่งบรรดาคนที่แสดงความเลื่อมใสต่อบทบาทของท่านพุทธทาสภิกขุท่านหนึ่งคือ นายปรีดี พนมยงค์ และอีกท่านหนึ่งคือ นายกุหลาบ สายประดิษฐ์
นายปรีดี พนมยงค์ ถูกกล่าวหาว่าโน้มเอียงไปทาง “คอมมิวนิสต์” ตั้งแต่หลัง พ.ศ.2475
นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ อาจมีบทบาทเห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อเดือนมิถุนายน 2475 แต่ต่อมา แม้ว่าจะยังให้ความเคารพ นายปรีดี พนมยงค์ แต่ก็แสดงออกอย่างแจ้งชัดว่าผิดหวังกับสมาชิก “คณะราษฎร” จำนวนหนึ่ง
ต่อมาก็ถูกจับในข้อหา “ขบถสันติภาพ” ในปี 2495 ต่อมาก็ถูกเพ่งเล็งและมีโอกาสถูกจับอีกหลังรัฐประหารเดือนตุลาคม 2501 จึงขอลี้ภัยอยู่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน
การทำความเข้าใจต่อแนวคิด พระกิตติวุฑโฒ ผ่าน ปีเตอร์ เอ. แจ็กสัน จึงสำคัญ
พระกิตติวุฑโฒ ได้ออกใบปลิวที่โจมตีแนวคิดเรื่อง “จิตว่าง” ของท่านพุทธทาส โดยอ้างถึงหลักฐานแบบบัญญัติดั้งเดิมของความแตกต่างระหว่างเส้นทางการใช้ชีวิตตามแบบโลกิยะกับเส้นทางตามแบบโลกุตระ
ดังที่ปรากฏอยู่ใน “ธรรมทินสูตร” ของพระสุตตันตปิฎก
พระกิตติวุฑโฒกล่าวว่า การที่ท่านพุทธทาสไม่ยอมรับความแตกต่างระหว่างโลกิยธรรมกับโลกุตรธรรมอย่างที่มีมาแต่ดั้งเดิมนั้นขัดกับหลักคำสอนพระพุทธเจ้าในพระสุตตันตปิฎก
ใน “ธรรมทินสูตร” มีข้อความกล่าวถึงฆราวาสชื่อธรรมทินนะซึ่งกราบทูลขอให้พระพุทธองค์ตรัสบอกวิธีปฏิบัติที่จะทำให้ได้รับความสุขและความสงบเย็น พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า วิธีที่ลัดสั้นที่สุดสำหรับบรรลุความสงบเย็นหรือ “นิพพาน” ก็คือ
การศึกษาและปฏิบัติตาม “คำสอนของตถาคตเรื่องความว่าง (สุญญตา) ในทางโลกุตรธรรม”
ซึ่งก็เป็นพระโอวาทที่ท่านพุทธทาสชี้ว่า หมายถึงการปฏิบัติตามหลัก “จิตว่าง” นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ธรรมทินนะได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า เป็นการยากเกินไปที่ฆราวาสจะเข้าใจคำสอนอันลึกซึ้งเรื่อง “สุญญตา” ของพระองค์ และได้กราบทูลขอข้อธรรมะที่เหมาะแก่ฆราวาสเช่นตัวเขา
ซึ่งได้ปฏิบัติตามหลักศีลธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดีแล้ว
พระพุทธองค์จึงตรัสถึงข้อธรรมะอย่างอื่น คือ “โสดาปัตติยังคะ” หรือ “แขนขา” ทั้ง 4 ของการปฏิบัติทางจิตอันจะนำผู้ปฏิบัติเข้าสู่โสดาปัตติมรรค
หรือเส้นทางของกระแสที่ไหลสู่ “นิพพาน”
องค์ 4 ของการปฏิบัติดังกล่าวนี้ประกอบด้วย (1) ศรัทธาในพระพุทธเจ้า (2) ศรัทธาในพระธรรม (3) ศรัทธาในพระสงฆ์ และ (4) การถือศีลเพื่อพัฒนาสมาธิ
เมื่อธรรมทินนะกราบทูลว่า ตนและเพื่อนๆ ได้ปฏิบัติตาม “โสดาปัตติยังคะ” ทั้ง 4 อยู่แล้ว พระพุทธองค์ก็ตรัสตอบว่า หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ได้เข้าถึง “โสดาปัตติผล” คือ เข้าสู่กระแสที่ไหลสู่ “นิพพาน” แล้วเช่นกัน
“โสดาปัตติยังคะ 4” ดังกล่าวข้างต้นนี้ชาวพุทธเชื่อถือกันมาแต่เดิมว่าเป็นฐานหลักของโลกิยธรรม หรือข้อปฏิบัติสำหรับฆราวาส ซึ่งไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อเข้าถึง “นิพพาน” แต่เพื่อจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นในชาติหน้า
ส่วน “ธรรมทินสูตร” นั้นชาวพุทธก็ตีความกันมาตามแบบดั้งเดิมในแง่ที่แสดงให้เห็นว่า “สุญญตา” เป็นธรรมะที่ยากเกินกว่าฆราวาสจะปฏิบัติได้ และเป็นเส้นทางการปฏิบัติที่สูงหรือลัดสู่ความหลุดพ้นที่บรรพชิตเท่านั้นจะสามารถใช้ได้
นอกจากนี้ ชาวพุทธยังตีความสูตรดังกล่าวต่อไปอีกว่า ผู้ที่จะปฏิบัติลัดสู่ “นิพพาน” โดยตรงจะต้องละทิ้งเรื่องทางโลกที่ฆราวาสปฏิบัติกันอยู่ในทางสังคมและวัฒนธรรมให้ได้อย่างเด็ดขาด
เพราะกิจกรรมทางโลกจะเหนี่ยวรั้งหรือขัดขวางมิให้ผู้ปฏิบัติเข้าถึง “นิพพาน” ได้
ยังเสมอเป็นเพียงการนำเสนอทางด้าน พระกิตติวุฑโฒ อย่างเป็นด้านหลัก เสมอเป็นเพียงมุมมองต่อ “ธรรมทินสูตร” จากทางด้านทั่วไปเป็นด้านหลัก
เป็นความพยายามนำเอา “พระไตรปิฎก” กระหน่ำใส่ท่านพุทธทาสภิกขุ
จำเป็นต้องติดตามว่า ท่านพุทธทาสภิกขุมีแนวทางในเรื่องนี้อย่างไร จำเป็นต้องติดตามว่า ปีเตอร์ เอ. แจ็กสัน มองเรื่องนี้อย่างไร