วัชระ แวววุฒินันท์ : เจาะใจ “ก้าวที่กล้า”

วัชระ แวววุฒินันท์

หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า รายการ “เจาะใจ” ทอล์กโชว์ที่มีอายุยาวนานที่สุดของวงการโทรทัศน์ไทยได้เวลาออกอากาศใหม่แล้ว

โดยปัจจุบันนี้ออกอากาศทางช่อง 9 อสมท ในวันเสาร์ เวลา 21.40 น. ตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

และเพื่อรับการออกอากาศใหม่ จึงมีการปรับลุคใหม่ ด้วยฉาก แสงสี ไตเติล และ CG ใหม่ หากใครได้เปิดดูคงจะรู้สึกถึงการเป็น บิ๊กโปรดักชั่น มากขึ้น

ไม่เท่านั้น เพื่อรับกับวันเวลาใหม่ จึงเปิดประเดิมด้วยโปรเจ็กต์ เจาะใจ “ก้าวที่กล้า” จำนวน 4 ตอนด้วยแขกรับเชิญ 4 คนที่กล้ากันไปคนละแบบ

ตอนที่ตีพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ฉบับนี้ รายการได้ออกอากาศไปแล้ว 2 กล้า คือ แบงค์ วงแคลช กับเรื่องราวของ “กล้าที่จะฝัน” และ แต๊ก The Voice กับ “กล้าที่จะสู้” ซึ่งเป็นยังไงผมจะย้อนเล่าให้ฟังถึง 2 ตอนนี้กัน

ส่วนอีก 2 กล้า เจ้าของเรื่องคือ หนึ่ง-จักรวาล เสาธงยุติธรรม โปรดิวเซอร์เพลงชื่อดัง กับ “กล้าที่จะเดินหน้า” และ ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ เจ้าของ App ชื่อดัง Ookbee ใน “กล้าที่จะล้มเหลว” ก็ติดตามชมกันได้เสาร์ที่ 25 มีนาคม และ เสาร์ที่ 1 เมษายน ตามลำดับ

 

สําหรับแขกตอนแรกคือ แบงค์ วงแคลช หรือชื่อเต็มว่า ปรีติ บารมีอนันต์ เป็นนักร้องขวัญใจวัยรุ่นมาดเซอร์ที่แฟนเพลงรู้จักดี

เขาเล่าว่าทำไมกล้าที่จะฝันว่า เขารู้สึกชอบดนตรีมาตั้งแต่เด็ก และมีความใฝ่ฝันที่จะตั้งวงดนตรีและตัวเองเป็นนักร้องนำเช่นเด็กวัยรุ่นทั่วไป เขาได้หอบความฝันให้ใกล้ความจริงเข้ามาด้วยการประกวดในงาน Hot Wave Music Award งานประกวดวงดนตรีของคนรุ่นใหม่ที่ดังมากยุคนั้น

จากเวทีนี้เขาและเพื่อนมีกำลังใจที่จะสานความฝันให้เป็นจริง โดยการยื่นใบสมัครกับค่ายเพลงดังๆ หลายแห่ง และสุดท้ายก็ได้มาอยู่ภายใต้ชายคาค่ายแกรมมี่

เป็นที่รู้กันว่าการจะได้ออกผลงานให้คนได้รู้จักนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะกับค่ายใหญ่ที่จะมีขั้นตอนการทำงานมากมาย รวมทั้งการเตรียมความพร้อมเรื่องการแสดงออกซึ่งรวมถึงท่าทางการเต้นและลีลา

แบงค์บอกว่ามันไม่ใช่เขาเลย ที่จะมาทำท่าแบบนักร้องป๊อปทั้งหลาย ผ่านไปปีแล้วปีเล่าก็ยังไม่มีวี่แววจะได้ออกผลงานสักที

เขาเคยยืนระบายต่อหน้าตึกแกรมมี่มาแล้ว ด้วยคำพูดที่ว่า “สักวันกูจะต้องดังคับตึกให้ได้”

ความฝันใกล้จะดับมอดลง เอาผลงานเพลงไปเสนอโปรดิวเซอร์ก็โดนเขวี้ยงซีดีใส่หน้า บ้างก็ว่าร้องห่วย ไม่มีอะไรโดดเด่น

แต่ด้วยความมุ่งมั่นในความฝัน ในที่สุดเขาก็ได้ออกผลงานเพลงจนได้หลังเวลาผ่านไปเกือบ 5 ปี

และเขาก็ได้เป็นที่รู้จักในฐานะนักร้องรุ่นใหม่ที่น่าจับตา และในเวลาต่อมาก็มาเด่นชัดในรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาอย่างที่เราเห็นตอนนี้

 

นั่นไม่ใช่ความฝันเดียวของเขา นอกจากฝันส่วนตัวที่ว่าแล้ว เขายังมีฝันของครอบครัวอีกอย่างหนึ่งคือ การปลูกบ้านใหม่ให้กับครอบครัว แบงค์เล่าว่าบ้านของเขาถูกขายเพื่อไปใช้หนี้จากการดำเนินธุรกิจที่ผิดพลาดของพ่อ ต้องไปเช่าบ้านเขาอยู่ แต่พ่อไม่เคยท้อและยืนหยัด อดทนเพื่อครอบครัวเสมอ

เขามีพ่อเป็นฮีโร่ และที่ตอกย้ำความเสียสละอดทนของพ่อคือ ครั้งหนึ่งที่เขากับน้องต้องเฝ้ารอพ่อมารับที่โรงเรียนเพื่อขึ้นรถเมล์กลับบ้านจนปาเข้าไป 2 ทุ่มกว่าแล้ว ก็เห็นพ่อเดินกางร่มท่ามกลางสายฝนมาแต่ไกล เขาระเบิดอารมณ์ต่อว่าว่าทำไมเพิ่งมา พ่อตอบด้วยคำตอบที่ทำให้เขารู้สึกสะอึกขึ้นมาได้ว่า “พ่อเดินมาจากบ้าน พ่อมีเงินแค่พาแกกับน้องขึ้นรถเมล์ได้เพียงเที่ยวเดียว”

เขาเล่าถึงความอดทนต่อสู้ของพ่อในการเยียวยาฐานะและความสุขของครอบครัวให้กลับคืนมา แม้แต่บ้านที่อยู่ก็เป็นบ้านเล็กๆ ที่อยู่กันหลายคน ไม่สะดวกสบาย น้ำไฟก็ถูกตัด

เขาฝันที่จะเป็นผู้สร้างบ้านหลังใหม่ให้กับครอบครัว ให้ได้อยู่กันอย่างสบาย และจากการทำงานหนักมาตลอด สุดท้ายเขาก็ทำความฝันของเขาให้กับครอบครัวได้สำเร็จ

เขาทิ้งทายในรายการตอนนั้นว่า “ความฝันอยู่บนฟ้า ถ้าอยากไปถึงมัน ต้องเชิดหัวขึ้น ส่วนปัญหามันอยู่ที่พื้น เตะมันออกไปซะ แล้วก้าวต่อไป”

 

ส่วนกล้าที่สอง ของ แต๊ก The Voice นั้น เป็นกล้าที่จะสู้

แต๊กเล่าให้ฟังถึงอดีตที่เคยผิดพลาดจากการเสพยาเสพติด จนกระทั่งถูกจับเข้าคุก พอพ้นโทษมาก็มีเหตุให้กลับไปพัวพันอีก จนต้องเข้าออกคุกมาแล้ว 4 ครั้ง

เขาบอกว่าใจของเขาไม่เข้มแข็งพอ

แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนชอบร้องเพลง เมื่อในเรือนจำจัดให้มีการเรียนร้องเพลงจากการสอนของนักร้องดังๆ ก็ทำให้เขาค้นพบความสามารถในตัวเอง ยิ่งได้รับกำลังใจจากผู้สอนและผู้คุม ทำให้เขาพัฒนาตัวเองขึ้นมาและได้ฝึกความสามารถจากการขึ้นเวทีร้องเพลงในโอกาสต่างๆ ระหว่างที่อยู่ในเรือนจำ

เขาวาดฝันว่า ถ้าเขาออกไปเขาอยากสมัครเข้าแข่งขันในรายการ The Voice ตอนที่คิดนั้นรายการเพิ่งเริ่มซีซั่นแรก เมื่อคำนวณกับเวลาที่ต้องถูกจองจำ จะตกราวซีซั่นที่ 5 พอดี

และในซีซั่นที่ 5 ที่ผ่านไปนั้น เขาก็พ้นโทษออกมาและได้มีโอกาสสมัครเข้าแข่งขัน เขาต้องสู้กับความคิดของตนเองมาโดยตลอดว่าเรามีคุณค่าพอหรือไม่ แต่ในที่สุดเขาก็ได้มาถึงรอบ 4 คนสุดท้ายของรายการ เป็นที่รู้จักไปทั่ว

จุดหนึ่งที่ทำให้เขามีกำลังใจที่จะสู้ คือ การได้มีโอกาสพบ ตูน บอดี้สแลม นักร้องผู้เป็นไอดอลของเขา จากเหตุการณ์ที่เมื่อ 5 ปีก่อนรายการเจาะใจได้จัดอีเวนต์ทอล์กโชว์ เจาะใจ The Moment 3 ขึ้น หนึ่งในแขกรับเชิญคือ ตูน ซึ่งมีโจทย์ว่าจะต้องไปทำอะไรบางอย่างที่อยากทำก่อน แล้วนำเอาประสบการณ์นั้นมาเล่าต่อในอีเวนต์

การทำงานครั้งนั้น แขกต้องประกบคู่กับคอลัมนิสต์ของรายการ ซึ่งของตูนก็คือ ป๋าเต็ด-ยุทธนา นักจัดคอนเสิร์ต สองคนจึงคิดจะจัดคอนเสิร์ตของตูนในเรือนจำเพื่อให้กำลังใจผู้ต้องขัง

นี่เองทำให้ตูนและแต๊กได้เจอกัน บนเวทีการแสดงครั้งนั้น แต๊กได้มีโอกาสขึ้นไปร้องเพลงร่วมกับตูนด้วย เป็นความสุขของเขาอย่างมาก

และจากการได้พูดคุยกับผู้ต้องขังนอกรอบของตูน ซึ่งมีแต๊กด้วย ตูนได้แรงบันดาลใจมาเขียนเพลงที่ชื่อ “ความฝันกับจักรวาล” ซึ่งมีที่มาจากแต๊กนั่นเอง เขาได้ตอบคำถามของตูนที่ถามว่า “มีความสุขตอนไหน” แต๊กตอบว่า “ตอนที่ได้ฝัน”

แต๊กกล้าที่จะสู้กับความผิดพลาดของชีวิต และกล้าที่จะสู้กับความคิดของตนที่จะไม่ให้รู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าจนก้าวขึ้นมาถึงวันนี้ได้

เขาทิ้งท้ายว่า “เรากำหนดชีวิตตัวเราได้ ขอเพียงมีใจที่หนักแน่นกับเป้าหมาย และสู้ไปให้สุดทาง”

 

นี่คือ 2 เรื่องราวความกล้าจากแขกรับเชิญ 2 คนแรกของรายการเจาะใจ ในโปรเจ็กต์ “ก้าวที่กล้า” ยังมีอีก 2 ความกล้ารอคุณอยู่

อย่าลืมติดตามชมนะครับ

กล้าที่จะชมไหม…ผมขอท้า