เบื้องหลังตร.ทลายแก๊งกักตุน “แมสก์” รวบคอนเน็กชั่น “ภราดรภาพ” คำถามฮิต “ตัวจริง” ขบวนการ?

“ทํานาบนหลังคน” เป็นสุภาษิตไทยที่เข้ากับทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะโควิด-19 แพร่ระบาด ยังมีคนจำพวกกอบโกยผลประโยชน์บนความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ย้อนไปต้นกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพจแหม่มโพธิ์ดำนำเสนอเรื่องราวนายศรสุวีร์ ภู่รวีร์รัศวัชรี หรือเสี่ยบอย ไนท์มาร์เก็ต ที่โพสต์ในเฟซบุ๊กอ้างว่ามีหน้ากากอนามัยในคลังสินค้ากว่า 200 ล้านชิ้น โชว์ภาพเช็กเงินสด ถ่ายรูปคู่กับผู้ใกล้ชิดอำนาจสร้างเครดิตให้ตัวเอง จนได้รับออเดอร์ล้นหลามหาของมาขายไม่ทัน ก่อนติดต่อหาซื้อหน้ากากผ่านคนมีคอนเน็กชั่น

จนเขาคนนี้กลายเป็นต้นตอความวายป่วงที่ล้วงลึกไปถึงคนวงในการเมือง

ต่อมาต้นมีนาคม เสี่ยบอยถูกตำรวจจับกุมข้อหานำเข้าข้อมูลเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยเจ้าตัวอ้างว่าหน้ากากอนามัยที่โพสต์ไว้เป็นภาพคนอื่น ตัวเองไม่มีของ ก่อนประกันตัวออกไป

แต่เรื่องไม่จบ เมื่อโปลิศต้องสืบสวนเชิงลึกทั้งตัวบุคคลที่ไปโผล่ในคลิปกับเสี่ยบอย เส้นทางการเงิน ไปจนถึงโกดังย่านหนองแขม ที่เจ้าตัวเข้าไปถ่ายวิดีโอระหว่างการขนย้ายลังหน้ากากอนามัยยี่ห้อไทยเฮลท์

ปรากฏว่าเป็นที่ทำการพรรคภราดรภาพ

ร้อนไปถึงนายพันธ์ยศ อัครอมรพงศ์ อดีตประธานยุทธศาสตร์พรรคภราดรภาพ เจ้าของโกดังและเจ้าของบริษัทหน้ากากอนามัยไทยเฮลท์ ที่ต้องเดินสายเข้าพบตำรวจในฐานะพยานเพื่อให้ปากคำ

เจ้าตัวรับว่าเคยส่งออกหน้ากากอนามัยก่อนคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการประกาศควบคุมการส่งออกหน้ากากอนามัยจะมีผลใน 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

กระทั่งนายพันธ์ยศถูกตำรวจสอบสวนกลาง ตำรวจกองปราบปรามการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) เข้าจับตัวที่คอนโดมิเนียมย่านเพชรเกษม ข้อหา “จงใจทำให้ราคาต่ำเกินสมควรหรือสูงเกินสมควร หรือทำให้เกิดความปั่นป่วนซึ่งราคาของสินค้า (หน้ากากอนามัย) และเป็นผู้ผลิตไม่แจ้งปริมาณ สถานที่เก็บ ต้นทุน ค่าใช้จ่าย แผนการผลิต กระบวนการผลิต และวิธีการจำหน่ายสินค้าหรือบริการควบคุมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่” ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยสินค้าและบริการ พ.ศ.2542

เมื่อแตกสายขบวนการนี้ ยังเชื่อมไปถึงนายอานนทวัฒน์ วรเมธชยางกูร อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคภราดรภาพ ที่ถูกจับในข้อหาจำหน่ายหน้ากากอนามัยซึ่งเป็นสินค้าควบคุมในราคาสูงเกินควร พบว่าเป็นนายหน้าในการซื้อ-ขายหน้ากากอนามัยอีกราย

ซึ่งจากการสอบสวน เจ้าตัวรับว่าได้สั่งซื้อหน้ากากมาจากนายทุนรายหนึ่งก่อนนำไปบรรจุกล่องแล้วส่งขายต่อ โดยจะได้รับส่วนแบ่งชิ้นละ 10 สตางค์

เกี่ยวกับคดีนี้ แหล่งข่าวในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เปิดเผยถึงการสืบสวนขยายผลจับกุมผู้จำหน่ายหน้ากากอนามัยและเวชภัณฑ์ว่า ขณะนี้แบ่งกลุ่มผู้กระทำผิดเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ

1. เครือข่ายนายพันธ์ยศ, นายอานนทวัฒน์ และนายศรสุวีร์ ที่เป็นนายหน้าซื้อ-ขายหน้ากากอนามัย

2. กลุ่มนายหน้าคู่ค้าหน้ากากอนามัย 7-8 ราย

และ 3. กลุ่มที่รับซื้อหน้ากากอนามัยจากนายพันธ์ยศ เพื่อนำไปขายต่อ

ซึ่งทั้งหมดเป็นคนไทย ยังไม่พบต่างชาติเข้ามาเกี่ยว

ทั้งนี้ พบว่าของกลางที่ตรวจยึดได้ส่วนใหญ่เป็นของผลิตในประเทศ บางส่วนลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเลี่ยงไม่แจ้งต่อกรมการค้าภายใน เพื่อไม่ให้สินค้าเข้าสู่ระบบที่ต้องถูกกดราคาเหลือชิ้นละ 2.50 บาท ก่อนจะนำมาบรรจุลงกล่องผลิตภัณฑ์ยี่ห้ออื่น เพื่อไม่ให้ทราบที่มาของโรงงานที่ผลิตแล้วนำไปขายในตลาดมืดด้วยราคาสูง โดยมีนายพันธ์ยศทำหน้าที่ในส่วนนี้ด้วย

ที่สำคัญ พบว่ากล่องผลิตภัณฑ์บางส่วนที่จับกุมได้เป็นของ 1 ใน 11 บริษัทที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานของรัฐให้จำหน่ายได้

หากเป็นผู้ผลิตหน้ากากอนามัย จะต้องตรวจสอบว่าผลิตที่ใด ถ้าผลิตหลังประกาศให้หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุมได้มีผลบังคับใช้ จะต้องแจ้งกับกรมการค้าภายใน จึงอาจจะมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่

ฟากของ พล.ต.ต.ปัญญา ปิ่นสุข รอง ผบช.ก.กล่าวว่า สำหรับการจับกุมนายพันธ์ยศ พบว่าเป็นตัวการขายหน้ากากอนามัยรายใหญ่ในประเทศ โดยเป็นผู้สั่งนำเข้ามาส่วนใหญ่ ไม่ได้ผลิตเอง แต่จะผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์และสร้างแบรนด์สินค้าเพื่อสร้างคุณค่า ถือเป็นความผิดเกี่ยวข้องกับการผลิต แต่ตอนนี้ผู้ต้องหาได้ขอใช้สิทธิ์ประกันและได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ทั้งนี้เนื่องจากผู้ต้องหาไม่มีพฤติกรรมหลบหนีและมีหลักทรัพย์ประกันตัวตามสิทธิ์

แต่หากมีพฤติกรรมหลบหนี เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานก็สามารถถอนประกันได้

แม้ตอนนี้นายพันธ์ยศมีความผิดเดียว แต่ตำรวจกำลังเร่งรวบรวมหลักฐานเพื่อขอศาลอนุมัติออกหมายจับในความผิดอื่น เช่นเดียวกับเครือข่ายที่เหลือ

พล.ต.ต.ปัญญากล่าวอีกว่า ขบวนการกักตุนหน้ากากอนามัยที่ถูกจับกุมครั้งนี้ นับเป็นส่วนหนึ่งทำให้เกิดขาดแคลนทั่วประเทศจนมีราคาสูง ตอนนี้ยังไม่พบว่ามีนักการเมืองมาเกี่ยวข้องหรือไม่

แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ ซึ่ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.สั่งให้เอาผิดทั้งหมดไม่ยกเว้น

ขณะที่ พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบก.ปคบ. เผยถึงการตรวจค้นโกดังในซอยบางกระดี่ 16 ย่านแสมดำ กรุงเทพฯ ซึ่งพบหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ ชุดป้องกันโรคหรือพีพีอี และอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 113 ล้านบาท ว่า จากการสอบถามคนดูแลภายในโรงงาน รับว่าได้นำเจลแอลกอฮอล์มาผสมกันเองภายในโรงงานจริง ซึ่งสินค้าที่ตรวจพบมีทั้งผลิตเองบางส่วน และพบเอกสารฉลากสินค้าภาษาจีน

จึงสันนิษฐานเบื้องต้นว่าของดังกล่าวน่าจะถูกนำเข้ามาจากประเทศจีนหรือไม่ แต่ยังไม่พบเอกสารอื่นๆ ที่จะระบุรายละเอียดของผู้ที่สั่งนำเข้าว่าเป็นใคร เป็นคนสัญชาติใด และจะนำสินค้าดังกล่าวไปจำหน่ายหรือส่งออกที่ไหนหรือไม่

อย่างไรก็ตาม โกดังเก็บของดังกล่าวเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ และถูกเช่าไปเมื่อไม่นานมานี้

เรื่องราวชักจะเลยเถิดจนสังคมแทบหลงประเด็น เมื่อมีคนมาแจ้งความกับตำรวจให้สืบหาตัวแหม่มโพธิ์ดำ โดยอ้างว่าต้องการทราบจุดประสงค์การเปิดโปงขบวนการตุนหน้ากากอนามัย พอตำรวจรับลูกก็ถูกวิจารณ์กันหนาหู

ไหนจะปัญหาระหว่างนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม กับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.พาณิชย์ และนางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข หลังไลฟ์เฟซบุ๊กพาดพิงถึงที่ปรึกษารัฐมนตรีว่ามีเอี่ยวกับขบวนการดังกล่าวหรือไม่ จนต้องออกมาแจ้งความโต้ข่าวกันไปมา

บางทีบทสรุปความโลภคนบางกลุ่มบนความทุกข์ยากเพื่อนร่วมชาติคราวนี้ อาจมีตอนจบที่สาวไม่ถึงต้นตอที่แท้จริง