“มันเหมือนขวดโซดา ผมเลยเหยียบลงไป มันก็ระเบิดขึ้น” วิกฤตชีวิตเลวร้ายของ “เด็กซีเรีย”

เช้าวันหนึ่งของฤดูหนาวเดือนมกราคมที่ผ่านมา มาเจด วัย 13 ปี พร้อมกับ โอมาร์ เพื่อนวัย 11 ปี พากันเดินไปยังสวนสาธารณะใกล้บ้าน ทางตะวันออกของเมืองอเลปโป เพื่อไปเล่นและขี่จักรยานกัน เป็นช่วงระยะเวลาของการหยุดยิงที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนธันวาคม ทำให้ทั้งคู่มีโอกาสออกมาเล่นได้ตามประสาเด็ก

แต่ระหว่างกำลังไปสวนสาธารณะนั้น ทั้งคู่เห็นวัตถุอะไรบางอย่างที่ฝังอยู่บนพื้นดิน

“มันเหมือนกับขวดโซดา ผมเลยเหยียบลงไป มันก็ระเบิดขึ้น ตัวผมลอยขึ้นไปบนอากาศ แต่สติผมยังอยู่ ผมรู้สึกเป็นห่วงโอมาร์มาก แต่ก็ไม่รู้จะช่วยเขายังไง” มาเจดหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นรีบพาตัวมาเจดที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล มาเจดได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ใบหน้าและลำตัว และยังต้องผ่าตัดลำไส้บางส่วนออก แต่ยังโชคดีที่ไม่ต้องตัดขาออก

ส่วนโอมาร์ ไม่ได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เพราะเขาตายระหว่างนำตัวส่งโรงพยาบาล

เรื่องราวของมาเจดและโอมาร์ถูกบอกเล่าระหว่างการเปิดเผยรายงานของกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา ที่ชี้ให้เห็นว่าวิกฤตสงครามกลางเมืองในประเทศซีเรีย ยังคงก่อให้เกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ ต่อผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะเด็กๆ แม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่มีการตกลงหยุดยิง ก็ยังสามารถเกิดเหตุการณ์เลวร้ายได้เหมือนกับที่เกิดกับมาเจดกับโอมาร์

รายงานล่าสุดของยูนิเซฟระบุว่า ปี 2559 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่เด็กๆ ชาวซีเรียต้องตกอยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่มากที่สุด นับตั้งแต่สงครามและเกมการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศซีเรียเมื่อ 6 ปีก่อน

โดยรายงานของยูนิเซฟ ได้เปรียบเทียบสถานการณ์ของเด็กในซีเรีย ระหว่างปี 2558 กับปี 2559 พบว่ามีเด็กซีเรียที่ต้องเสียชีวิตลงในปี 2559 เพียงปีเดียว สูงถึง 652 ราย มากกว่าปีก่อนหน้าถึง 20 เปอร์เซ็นต์ และเป็นปีที่มีเด็กตายมากที่สุดนับตั้งแต่มีการสำรวจเมื่อปี 2557 เรื่องน่าเศร้าคือ กว่า 1 ใน 3 ของเด็กซีเรียที่ตายปี 2559 ต้องจบชีวิตลงในโรงเรียนหรือไม่ก็บริเวณใกล้ๆ กับโรงเรียน

ยูนิเซฟระบุด้วยว่า ในปี 2559 มีเด็กซีเรียราว 850 คนที่ถูกเกณฑ์ไปสู้รบ และในกรณีที่เลวร้ายสุดๆ คือเด็กๆ ถูกเกณฑ์ไปเพื่อเป็นเพชฌฆาต, ก่อเหตุระเบิดพลีชีพ หรือไม่ก็เป็นผู้คุมเรือนจำ

เคียร์ต แคปเปแลร์ ผู้อำนวยการยูนิเซฟประจำภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ กล่าวในแถลงการณ์ ระบุว่า “ความทุกข์ทรมานมีความรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มีเด็กในซีเรียหลายล้านคนที่ถูกโจมตีทุกๆ วัน ชีวิตต้องพลิกผัน”

ขณะที่ปัญหาหลักอื่นๆ ของเด็กๆ ซีเรียคือ การขาดซึ่งการเข้าถึงการรักษาพยาบาลและเวชภัณฑ์พื้นฐาน ซึ่งนำไปสู่ปัญหาร้ายแรงของการเกิดโรคที่สามารถป้องกันได้

“สถานพยาบาลและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขตกเป็นเป้าหมายเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2559 ที่ทำให้มีเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์และพลเรือนที่ต้องตายและบาดเจ็บหลายร้อยคน” บาชีร์ ทาจัลดิน อายุรแพทย์ในซีเรียกล่าวไว้ในรายงานของยูนิเซฟ และว่า เด็กๆ ขาดซึ่งภูมิคุ้มกันที่ควรจะมี ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรค

ทั้งนี้ นับตั้งแต่สงครามกลางเมืองในซีเรียเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 6 ปีก่อน มีเด็กชาวซีเรียเกือบ 6 ล้านคนที่ต้องอยู่ด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และเกือบ 2.3 ล้านคนที่ต้องอาศัยอยู่ตามค่ายผู้ลี้ภัยในตุรกี เลบานอน จอร์แดน อียิปต์ และอิรัก

โดยข้อมูลจากเมอร์ซี คอร์ป แสดงให้เห็นว่า ชาวซีเรียเป็นกลุ่มผู้ลี้ภัยที่มีจำนวนมากที่สุดในโลก โค่นแชมป์เก่าอย่างผู้อพยพจากรวันดาที่เคยเผชิญกับปัญหาในประเทศจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เมื่อ 20 ปีก่อน

ขณะที่มีชาวซีเรียที่พยายามข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเพื่อไปยังยุโรปจำนวนมากขึ้น ทำให้เกิดภาพของผู้อพยพที่จมน้ำจนเป็นที่สะเทือนอารมณ์ไปทั่วโลก กระนั้นก็ตาม จำนวนยอดผู้อพยพที่ต้องจมน้ำตายระหว่างความพยายามที่จะมุ่งหน้าสู่ยุโรปก็ยังคงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) ระบุว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2559 มีผู้อพยพชาวซีเรียราว 2,510 คน ที่ต้องเสียชีวิตระหว่างการหนีภัยสงครามไปยังประเทศอื่น

นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายระยะยาวสำหรับเด็กๆ ชาวซีเรียอีกคือ มีเด็กกว่า 1.7 ล้านคนในซีเรียที่ไม่ได้เรียนหนังสือ เนื่องจากอาคารที่ไว้ใช้สำหรับเรียนหนังสือนั้นถูกทำลาย หรือไม่ก็ได้รับความเสียหาย หรือไม่ก็ถูกนำไปใช้เพื่อการอื่นที่ไม่ใช่เพื่อการเรียนการสอน

ยูนิเซฟจึงอยากขอร้องให้ “หยุดการกระทำความรุนแรงต่อเด็กๆ และให้เด็กๆ ได้เข้าถึงในสิ่งที่พึงมีโดยไม่มีเงื่อนไขและเป็นไปอย่างยั่งยืน รวมไปถึงเด็กๆ ที่อยู่ภายใต้วงล้อมด้วย”

นอกจากนี้ ยูนิเซฟยังเรียกร้องให้บรรดารัฐบาลทั้งหลายทำหน้าที่ในการเป็นแกนนำในการช่วยเหลือสนับสนุนผู้ลี้ภัย และเพื่อให้แน่ใจได้ว่าผู้ลี้ภัยเหล่านี้จะมีความเป็นอยู่ที่ดี

เมื่อสงครามยังไม่จบ ความสูญเสียก็ยังคงมีต่อไป อนาคตของเด็กเหล่านี้จะเป็นอย่างไร

222
มาเจดบอกไว้หลังฟื้นตัวจากการได้รับบาดเจ็บ และบอกว่า เขายังคงยึดมั่นในความฝันของตัวเองอย่างต่อเนื่อง คือ การได้เรียนหนังสือ แม้ว่าในตอนนี้เขาจะไม่ได้เรียนหนังสือมานาน 4 ปีแล้ว เพราะสงครามที่เกิดขึ้น

“ผมแทบรอไม่ไหวแล้วที่จะได้กลับไปเรียนหนังสือ หลังจากหายเจ็บแล้ว” มาเจดกล่าวอย่างมีความหวัง พร้อมกับเตือนเพื่อนๆ ทุกคนว่า อย่าไปเข้าใกล้สวนสาธารณะที่เป็นทะเลทรายอย่างเด็ดขาด และอย่าเล่นกับสิ่งของที่แปลกประหลาด

เพราะมันอาจจะฆ่าคุณได้!!