รายงานพิเศษ : Unseen “ไซบีเรีย-มองโกเลีย” (3) : จิตวิญญาณแห่ง “โอลขอน”

ตอนที่ 1 ตอนที่ 2


จิตวิญญาณแห่ง “โอลขอน”

พื้นที่ขนาด 730 ตารางกิโลเมตรของโอลขอน รวมภูมิประเทศหลากหลายน่าพิศวง ตอนใต้ของเกาะอบอวลกลิ่นหอมจากทุ่งหญ้าสเตปป์ ทางเหนือป่าไม้เขียวขจี

ฝั่งตะวันออกของโอลขอนเป็นแนวผาสูงชันดิ่งลงสู่ผืนน้ำ ฝั่งตะวันตกไม่สูงนัก เต็มไปด้วยโขดหินแปลกๆ มีเวิ้งอ่าวงดงาม และถ้ำลี้ลับชวนให้ค้นหา

มีทะเลทรายเล็กๆ ให้แปลกใจ

มีประวัติศาสตร์เรื่องราวของผู้คน ตำนานและความเชื่อของชนเผ่า โอลขอนจึงมีทั้งชีวิตและจิตวิญญาณสิงสถิต

“ไบคาล-โอลขอน จึงเป็นจุดหมายปลายทางฝันของนักเดินทางปรารถนามาเยือน-สักครั้งหนึ่งในชีวิต

เกาะโอลขอนมีสถานที่สวยงามมากมาย สำหรับเขาหรือเธอผู้มาเยือนเสมอ ฟังแล้วประทับใจ

แต่สำหรับนักเดินทางที่มาท่องเที่ยวโอลขอน คงไม่มีคำพูดใดๆ กินใจเกินคำพูดเหล่านี้อีกแล้ว “เรารักเกาะของเรา และจะปกป้องคุ้มครองเกาะของเราให้เป็นอย่างที่เคยเป็น”

ดังนั้น โปรดจำไว้ด้วยว่า-อย่าเด็ดดอกไม้ป่าของเรา อย่าทำร้ายหรือฆ่าสัตว์ของพวกเรา ถ้าคุณมาโอลขอนทางรถยนต์ ได้โปรด-ขับรถไปตามเส้นทางเก่า-ที่มีรอยแตกแยกของแผ่นดินโอลขอนเป็นทางยาวด้วย”

สามเราซื้อทัวร์เที่ยวรอบเกาะสะดวกสุด-รับส่งถึงหน้าบ้าน พาหนะรถตู้รัสเซีย UAZ ปี 1965 รูปทรงเหมือนขนมปัง (Bukhan Loaf) หน้าตาการ์ตูน พาสามเรากับเพื่อนร่วมทัวร์ชาวรัสเซีย 3 คน ออสเตรเลีย 2 นั่งกันตามสบาย ไฮไลต์ของทริปคือ Khoboy Cape เหนือสุดของเกาะ กับมื้อกลางวัน-ปิกนิกกลางป่า

รถจอดที่จุดชมวิวแรก-ริมผาสูงมองเห็นหาดทรายโค้งเป็นเวิ้งสวย เกาะสิงโต กับเกาะจระเข้ โผล่อยู่กลางอ่าว แต่สามเราเห็นเป็นเกาะจิ้งจก-ตุ๊กแก ส่วนเกาะสิงโตก็ดูคล้ายหนู

รถตู้การ์ตูนวิ่งปุเลงไปบนทุ่งหญ้าตามรอยสีน้ำตาล คือทางรถวิ่ง ราว 4 ก.ม. ก็ถึงชายหาดแคบๆ มองเห็นตอม่อสะพานไม้เก่าๆ ทอดไปในทะเลสาบ นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มใหญ่เข้าคิวถ่ายรูปบนสะพานไม้เก่าแก่

นี่คือ Peschanka Bay ค่ายกักกันนักโทษลิทัวเนียช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนหนึ่งของอาณานิคมค่ายกักกัน กูลัก (Gulug) อันโด่งดังแห่งไซบีเรีย

นักโทษลิทัวเนียใช้แรงงานทำประมง จับปลา รถจอดหน้าอาคารไม้สีน้ำตาลทึบทะมึน มองไม่เห็นภายใน น่าจะเป็นโรงงานทำปลา (เดา) หน้ามรสุมพายุจากทะเลสาบพัดแรงเกิดเป็นพายุทรายซัดกระหน่ำอาคารเก่าทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ต้นไม้ยืนต้นรอบๆ ชายหาด ดูแปลกประหลาด พายุแรงหอบทรายเตลิดมองเห็นรากต้นไม้หงิกงอ ชอนไชไปทั่ว ตรงกันข้ามกับสุสานเชลยศึกถูกภูเขาทรายกลบฝัง จนยากจะค้นหาพบ

Peschanka Bay เหลือร่องรอยความโหดร้ายของสงครามให้คนรุ่นหลังได้เห็นแค่ตอม่อสะพานปลาที่ยื่นไปในทะเลสาบ

ถึงคิวสามเราขึ้นไปถ่ายรูปบนสะพานปลาพอดี จะยืนจะนั่ง-ยังไม่ทันเข้าที่-เข้าทางดี ช่างภาพจำยอม-หนุ่มจีนคิวต่อจากเรา-กดแชะ…แชะ…แชะแบบไม่ยั้งอีกแล้ว ตามด้วยโชเฟอร์ส่งเสียงเรียกเป็นภาษารัสเซีย ถึงฟังไม่รู้เรื่องก็รู้ว่าเขาพูดอะไร…

“ขึ้นรถ…ขึ้นรถ เดินทางต่อ”


สุดขอบฟ้าที่ Khoboy Cape

โอลขอนไม่มีถนน มีแค่รอยล้อรถบดทุ่งหญ้าเป็นทางสีน้ำตาล สูงๆ ต่ำๆ ผ่านฝนผ่านหนาว หิมะตก-ละลาย ทางสายสีน้ำตาลกลายเป็นร่องลึก เพื่อถนอมสภาพแวดล้อมโอลขอน ไม่มีทางเบี่ยง โชเฟอร์ต้องใช้ความสามารถพารถผ่านไปให้ได้ พวกเราจึงกลิ้งไปมาอยู่ในรถตู้ขนมปังรัสเซีย โขยกเขยก ตกร่องตกหลุม รถเอียงกระเท่เร่ โชเฟอร์กระชากรถถอยหลัง-เดินหน้า ดันทุรังขึ้นจากหล่มได้ในที่สุด

รัสเซียยอดจริงๆ ทั้งรถทั้งถนนและคนขับ รวมทั้งสามเราสูงวัย-ถึกสุดๆ

โชเฟอร์จอดรถตรงบริเวณหน้าผา Sagaan-Khunshun Cape แปลจากภาษาบูรยัตคือ “แหลมสีขาว” (White Cape) ทอดตัวยาวราว 1 ก.ม. ไปตามแนวฝั่งตะวันตกของทะเลสาบไบคาล มองลงไปจากหน้าผา-โขดหินเก่าแก่หน้าตาดึกดำบรรพ์โผล่เหนือระดับน้ำทะเล พุ่งปลายแหลม 3 ยอดเรียงกันโดดเด่นตรงหน้า คือ “แหลมสามพี่น้อง” (Cape Three Brothers)

โขดหินอ่อนสีขาวปกคลุมด้วยไลเคนสีส้มเหลือบชมพูงดงามแปลกตา-ความเชื่อว่าเกาะมีจิตวิญญาณสิงสถิต แหลมสามพี่น้องที่พวกเราถลาเข้าไปถ่ายรูปคู่รูปเดี่ยวจึงไม่ใช่ก้อนหินธรรมดา

พวกเขาคือลูกชายหัวหน้าเผ่าผู้มีเวทมนตร์ อยากรู้ว่าความรู้สึกอิสระเสรีเป็นอย่างไร หัวหน้าเผ่าจึงใช้เวทมนตร์เปลี่ยนลูกชายทั้งสามเป็นนกอินทรีโบยบินสู่ท้องฟ้ากว้าง

มีเงื่อนไขว่า-นกอินทรีจะต้องล่าเหยื่อเป็นอาหารเท่านั้น

อินทรีทั้งสามบินไปทั่วฟ้าทั่วแผ่นดิน-เหน็ดเหนื่อยและหิวโหย มองเห็นซากสัตว์อยู่เบื้องล่าง ลืมเงื่อนไขล่าเหยื่อ-ถลาลงจากฟ้าจิกกินซากสัตว์อย่างหิวโหย (เสื่อมเสียศักดิ์ศรีนกอินทรีทำตัวเป็นแร้ง)

หัวหน้าเผ่าโกรธมาก สาปลูกนกอินทรีทั้งสามกลายเป็นหิน “สามพี่น้อง” เรียงอยู่ตรงหน้าผา

จาก-แหลมสามพี่น้อง ไป Khoboy Cape ไม่ไกลแค่ 4 ก.ม. เป็น 4 ก.ม. ที่วิบากสาหัสเกินบรรยาย แต่ยอดโชเฟอร์พาทั้งรถทั้งคนบุกตะลุย-ผ่านตลอด เข้าเขตป่าสงวน รถจอดตรงชายป่า มองเห็นไม้ซุงผ่าแทนโต๊ะและม้านั่งกลางแจ้งวางอยู่ใต้ร่มไม้ นี่คือไฮไลต์ของทริป จุดเหนือสุดของเกาะโอลขอน Khoboy Cape ห้ามรถเข้า เดินลูกเดียวค่ะ ทะลุแนวป่าแล้วก็ต่อด้วยเนินเขาหญ้าเขียวมีรอยทางรถสีน้ำตาล ยิ่งเดิน ก็ยิ่งสูงขึ้น-ชันขึ้น กัดฟันเดินช้าๆ ได้พร้าเล่มงามไปจนถึงยอด เปลี่ยนเป็นทางแคบๆ เลียบหน้าผาชันดิ่ง ลงสู่ผืนน้ำไบคาล สีน้ำเงินเข้มดูลึกและสงบ

เพื่อให้ชื่นชมความงามของไบคาล บริเวณแนวหน้าผามีม้านั่งให้พักขา-ชมวิว เดินไป หยุดถ่ายรูปเป็นระยะ นักท่องเที่ยวจีนมากที่สุด จึงตกเป็นเหยื่อ ช่วยถ่ายรูปหมู่ “สามเรา” เพื่อยืนยันว่า พึ่งลำแข้งลำขาตัวเอง เดินมาถึงจุดเหนือสุดของเกาะโอลขอน

หยุดชมตัวเองนิดหน่อยค่ะ “เก่งจริงนะ-แก่ออกปานฉะนี้”

หน้าผาสูงลิ่ว Khoboy Cape คือจุดชมวิวเหนือสุด มองเห็นทะเลสาบไบคาลทั้งผืนแบบพานอรามา รอบทิศ ยอดผาหินอ่อนสีขาวเต็มไปด้วยรอยหยักแหลมเรียงเป็นแถวเหมือน “เขี้ยว” หมาป่า ตรงกับชื่อ Khoboy Cape คือ “จุดสิ้นสุดของแผ่นดิน” เหนือผืนน้ำช่วงกว้างที่สุดของทะเลสาบไบคาล คือ 79 ก.ม. เป็นศิลาอาถรรพ์ศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่งของเกาะโอลขอน

สามเราเดินกลับมายังจุดพักเพื่อกินอาหารกลางวัน-หลังสุด คู่หนุ่มกับหนุ่มชาวออสเตรเลีย และคู่หนุ่มกับสาวรัสเซีย ร่วมทริปร่วมทางกำลังเอร็ดอร่อยกับซุปปลาโอมุลร้อนจี๋ จากหม้อบนเตาฟืน บนท่อนซุงเนื้อหยาบผ่าครึ่งแทนโต๊ะ วางชามสลัดผักสด แตกกวาหั่นท่อนหนา มะเขือเทศผ่าสี่ชิ้นเขื่อง ขนมปังสีน้ำตาลแบบไม่อั้นอยู่ในถุงพลาสติก ห่อเนยสด โถแยมผลไม้ ปิดท้ายบิสกิตขนมปังกรอบ แทะเล็มกับชาร้อน

อากาศเที่ยงกลางป่าเย็นเจี๊ยบ เมนูอาหารเกรียนๆ หั่นผัก-หั่นปลาท่อนเบ้อเริ่ม ฝีมือสองหนุ่มโชเฟอร์กับผู้ช่วยหน้ามาเฟีย-อร่อยเหลือเชื่อ