“อาเทพที่รัก”

สุเทพ วงศ์กำแหง ศิลปินแห่งชาติ ได้ลาจากครอบครัว ญาติมิตร จากคนที่รัก จากแฟนเพลงที่รักท่านไปอย่างสงบเมื่อเช้าวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในบ้านพักย่านคลองตัน อายุรวมได้ 86 ปี

แต่ก่อนโน้นพ่อ-ครูแจ๋ว สง่า อารัมภีร มักจะหิ้วผมกับโต้ง-พายัพน้องชายใส่รถม้าลาย รถยนต์ยี่ห้อฟอร์ดเทมส์ไปไหนๆ คือพ่อจะมีลูกชายสองคนเป็นเพื่อนนั่งเวลากลับบ้านตอนค่ำดึกดื่น

สมัยนั้นเวลาพาไปเจอใครต่อใครในแวดวงก็จะให้เรียกอาทุกคน

ไม่ว่าจะเป็นอาอู๊ด รพีพร อาโจ๊ว-เพ็ญศรี พุ่มชูศรี อาต้อย-สุพรรณ บูรณะพิมพ์ อารี่-สวลี ผกาพันธุ์ อาฉึ่ง-ชรินทร์ นันทนาคร อาเทพ-สุเทพ วงศ์กำแหง

เนื่องเพราะพ่อแก่กว่า ยกเว้นครูเพลงบางคน เช่น ครูแก้ว ครูไศล ครูสมาน พ่อให้เรียกลุง

อาเทพกับความประทับใจของผมมีหลายเรื่อง เฉพาะเรื่องส่วนตัว ปีนั้น พ.ศ.2556 ผมอายุครบ 60 จึงทำหนังสือแซยิดโดยขอความกรุณาให้อาเทพช่วยเขียนด้วย

และจากนั้นไม่นานอาก็ส่งข้อเขียนมา

“…”อะไรกัน หกสิบแล้วเหรอเนี่ย”

พลันภาพต่างๆ ก็ผุดเข้ามาในมโนภาพอย่างอัตโนมัติ

เด็กน้อยที่น่ารัก ตัวอ้วนจ้ำม่ำ หัวทุยๆ ถูกแม่เอาผ้าขาวม้าผูกขาแล้วปล่อยให้คลานรอบโต๊ะที่พ่อ (พี่แจ๋ว) และเพื่อนๆ ล้อมวงกันกรุ๊บน้ำสีเหลืองเข้าปาก ส่งเสียงเอะอะเฮฮา

ผ่านมา เป็นเด็กรุ่นตะกอที่ติดตามพ่อไปกับรถม้าลาย ไม่ว่าจะชายทะเลหรือร้านอาหารที่พ่อและเพื่อนๆ รวมถึงลูกศิษย์ของพ่อที่เป็นนักร้องดังบ้าง ยังไม่ดังบ้าง พอเราสวัสดีพี่แจ๋วแล้ว ได้ยินพี่แจ๋วสั่งเด็กๆ ที่มาด้วยว่า

“ม้าลายมันร้องยังไง” เด็กรุ่นตะกอ ก็วิ่งจับของสงวนจนคนถูกจับต้องร้อง

“โอ๊ย โอย” (ปฏิบัติธรรมเนียมเช่นนี้เป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มของพ่อกับเพื่อนในวงการ เขาเรียก เชียง-ผู้เขียน)

ตัดภาพมาอีก เป็นเด็กหนุ่มรุ่นใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย ดูลุ่มลึกมีความมั่นใจในตัวเอง เสียงพูดจามีสาระและจริงจัง เริ่มเป็นนักพูดที่มีวาจาฉะฉาน แต่ก็ยังเบิกบานด้วยเสียงหัวเราะ

เริ่มฉายแววเจ้าชู้ เราก็ได้แต่เชียร์ให้หลานเต้ยมองหาใครมาเป็นคู่ครองเสียที

พอรู้ว่าเขาเริ่มมีความสัมพันธ์กับลูกสาวนักแสดงชั้นเยี่ยมของประเทศไทย ก็พยายามเอาใจช่วย ถึงขนาดที่ปรารภกับเต้ยให้ไปขอกับพ่อ-แม่ของเธอเสียเลยก่อนที่ใครจะมาช่วงชิงเอาไปครอบครองเสียก่อน

แต่ก็ไม่รู้หลานเราไปทำอีท่าไหน? ไอ้หนุ่มคนอื่นมาคว้าเอาไปกกกอดก่อนจนได้

ดีแต่ว่า

มีสาวสวยสูงศักดิ์ ทั้งสวย ทั้งรวย (ความรู้) ผ่านเข้ามาในชีวิตหลานชายคนนี้ ทำให้เราผู้เป็น “อา” กระตุ้นให้รีบคว้าไว้ให้ได้โดยเร็ว (ไม่ต้องการให้มีเหตุซ้ำรอย)

คราวนี้สมใจอาเทพ

เต้ยโน้มน้าวกิ่งฟ้าลงมาเชยชมจนได้ “สมกันดี” เราคิด

เมื่อได้เห็นทั้งคู่ เคียงคู่กันขึ้นเวทีประกาศเพลง ทั้งร้องเพลงคู่แล้ว อาเทพก็มีความสุขที่ได้เห็นหลานชายและหลานสาวมีความงดงามในจอแก้วและบนเวทีคอนเสิร์ตแต่ละคอนเสิร์ตของนักร้องทั่วไป แม้กระทั่งของอาเอง

เต้ยก็ยินดีทำให้อาด้วยความเต็มใจ

อารู้สึกเป็นสุข (แต่ก็ยังมีความกังวล) เพราะจนป่านนี้เจ้าหลานชายตัวดี ก็ยังไม่มีทายาทให้อาเทพเชยชม

อาเทพต้องกระตุ้นให้ทำการบ้านเสียบ้าง…”

นั่นคือข้อเขียนบางส่วนที่อาเทพกรุณาเขียนให้ ทำให้ผมรู้ว่า เรื่องราวชีวิตผมอยู่ในสายตาของอามาตลอด

ส่วนเรื่องงานเพลงในคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงเพลงของพ่อทุกปี ความประทับใจที่ต้องกล่าวถึงนี้เป็นเสมือนการสอนงานให้แก่ลูกหลานโดยแท้

ตั้งแต่พ่อเสียเมื่อปี 2542 เป็นต้นมา ผมก็จัดคอนเสิร์ตเพลงพ่อแทบทุกปี โดยการสนับสนุนจากศาลาเฉลิมกรุงหลายครั้ง ซึ่งต้องขอบคุณผู้บริหารของศาลาเฉลิมกรุงมา ณ ที่นี้ด้วย

ตอนนั้นการจัดคิวเพลงผมจะกำหนดเพลงและนักร้อง ซึ่งส่วนใหญ่พ่อเคยแต่งเพลงให้ เช่น อาเทพร้องเดี่ยวสองเพลง ร้องคู่หนึ่งเพลง อารี่ สวลี เดี่ยวสองเพลง คู่หนึ่งเพลง อาฉึ่งเดี่ยวสองเพลง ร้องคู่หนึ่งเพลง อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งก็ทำต่อเนื่องมา

จนเข้าปีที่สามหรือสี่นั่นแหละ อาเทพก็นั่งเปรยกับผมว่า เต้ย งานพี่แจ๋ว อาจะร้องเดี่ยว 4-5 เพลง ส่วนเพลงคู่แล้วแต่เต้ย สองหรือสามเพลงก็ได้

เมื่ออากล่าวจบผมรีบก้มกราบที่ตักท่านโดยเร็ว เพราะนั่นหมายถึงจะมีสุเทพโชว์หนึ่งชุดในคอนเสิร์ตพ่อทุกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่ถูกอกถูกใจคอเพลงแฟนเพลงที่ซื้อบัตรเข้ามาชมเอามากๆ

นั่นคือ น้ำใจไมตรีที่ปรากฏแก่ผมและครอบครัวจากสุภาพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่นาม

สุเทพ วงศ์กำแหง