E-DUANG : “ดีเอสไอ” เหมือนกับจะแพ้ แต่ก็”ชนะ”

กรณีอันเกี่ยวกับ “ธรรมกาย” หากสรุปตามสำนวนที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล เคยใช้ ก็ต้องว่า

“เหมือนจะแพ้ แต่ก็ชนะ”

หากเป็นการมอง ประเมิน และสรุป จากปฏิบัติการตลอด 20 กว่าวันที่นำโดย “ดีเอสไอ”

หรืออีกมุมหากมองจากอีกด้าน

นั่นก็คือ มองจากด้านที่ถูกรุก มองจากด้านที่ตั้งรับของ”ธรรมกาย”ก็ต้องว่า

“เหมือนจะชนะ แต่ก็แพ้”

บทสรุปผ่าน”กระสวน”อย่างนี้เท่ากับเสริมเติมความเชื่อมั่นให้กับ นายไพบูลย์ นิติตะวัน และรวมถึง นพ.มโน เลาหวณิช ราวปีกับขลุ่ย

กระนั้น คำถามที่เสนอเข้ามาอย่างแหลมคมยิ่งในกรณีของ”ธรรมกาย”ก็คือ

ชนะ” หรือ”แพ้” วัดจากอะไร

 

คำว่า”แพ้”หากมองจากมุมของ”ดีเอสไอ”และ”ตำรวจ”ก็คือ การรุกเข้าไปในวัดพระธรรมกาย

ไม่สามารถได้ตัว พระไชยบูลย์ สุทธิผล

เรียกตามสำนวนของ “ตำรวจ”ก็ต้องว่า ตราบกระทั่งวันนี้ พระไชยบูลย์ สุทธิผล ก็ยัง “ลอยนวล”

“การข่าว”ของ”ดีเอสไอ”ไม่มีความแจ่มชัด ตรงนี้ถือว่าเป็นความล้มเหลว เป็นความพ่ายแพ้ของ”ดีเอสไอ”อย่างเด่นชัด

กระนั้น ภายในความพ่ายแพ้นี้”ดีเอสไอ”ก็ยัง”ชนะ”

 

ชัยชนะอย่างเป็นรูปธรรมของ”ดีเอสไอ”ก็คือ ยังสามารถคงอำนาจ แห่ง”มาตรา 44″อยู่ในกำมือ

รุกเข้าไปยัง “อาคารบุญรักษา”

เท่านั้นยังไม่พอทำท่าว่าอาจมีการเรียกตัว น.ส.อลิสา อัศวโภคิน ไปให้ปากคำ รุกเข้าไปยัง “ตลาดหุ้น”

เท่านั้นยังไม่พอทำท่าว่าอาจจะมีการเรียกตัว พระเผด็จ ทัตต ชีโว รวมทั้ง พระมหาบุญชัย จารุทัตโต เข้าไปให้ปากคำซ้ำอีกในกรณีนำเงินกว่า 1,000 ล้านบาทกระจายไปในตลาดหลักทรัพย์

ภายในวัดพระธรรมกายอาจยังมีเสียง”สวดมนต์”กระหึ่ม

แต่ปฏิบัติการในการออก”หมายเรียก”ตามอำนาจอันได้มาจากคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 5/2560 ก็ยังเดินหน้าต่อไปด้วยความคึกคัก