มุกดา สุวรรณชาติ : แด่…หนุ่มสาวผู้ร้าวราน…และหาญกล้า

มุกดา สุวรรณชาติ

ที่มาของการเคลื่อนไหว แบบ ไฟลาม

ที่เคยบอกว่ายุบพรรคอนาคตใหม่จะมีเรื่องใหญ่ตามมา เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ทีมวิเคราะห์ก็ไม่คาดคิดว่าอยู่ๆ นักศึกษาจะออกมาชุมนุมมากมายหลายจุด

เมื่อถามข้อมูลในวงการนักศึกษาเอง พวกเขาก็ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์มากขนาดนี้ขึ้น

จากคำบอกเล่ามันเป็นไปเอง หลายแห่งที่มีการชุมนุมก็มาจาก LINE กลุ่มเมื่อมีคนจัดขึ้นมา ก็มีคนมาขอเข้าร่วม รู้จักกันบ้าง ไม่รู้จักกันบ้าง แต่ใจตรงกัน ผลัดกันขึ้นไปพูด โดยยังไม่รู้ว่าจะพูดอะไรบ้าง

จะเห็นว่าในช่วงแรกๆ ไม่มีข้อเรียกร้องอะไร แต่ทุกคนรู้สึกว่าเกิดความไม่ยุติธรรมขึ้นในสังคม ในการเมือง ในระบบรัฐสภา ประชาธิปไตยที่มีมาหลังเลือกตั้งนี้เป็นประชาธิปไตยจอมปลอม มีการทุจริตในการบริหารบ้านเมือง รัฐบาลทำงานไม่มีประสิทธิภาพ และลงท้ายด้วยการไล่นายกรัฐมนตรีให้ออกไปจากตำแหน่ง

เมื่อการชุมนุมลามออกไปตามสถาบันต่างๆ ใช้เวลาประมาณ 3-4 วัน คนมาร่วมชุมนุมมากขึ้นทุกแห่งและก็เริ่มมีข้อเสนอ

เช่น การชุมนุมที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อเย็นวันที่ 27 กุมภาพันธ์ นักศึกษาออกแถลงการณ์เรียกร้อง 3 ข้อโดยสรุป โดยสรุปจากแถลงการณ์ ดังนี้

แม้วันนี้ประเทศจะมีการเลือกตั้งเสมือนว่าเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย แต่ผลพวงของการรัฐประหาร สืบทอดอำนาจผ่านรัฐธรรมนูญ ได้รัฐบาลที่ไม่ตรงเจตจำนงของประชาชน ไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชน ทำให้การบริหารประเทศไม่ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างอารยประเทศ ไม่มีวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหาปากท้องประชาชน ไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลการทำงานตามกลไกต่างๆ ได้อย่างแท้จริง รัฐประหารได้แต่งตั้งคนของตนเองเข้ามาทำงาน ทำหน้าที่ในองค์กรต่างๆ ขาดการตรวจสอบอย่างยุติธรรม และยังได้ใช้องค์กรต่างๆ กลั่นแกล้งผู้ที่เห็นต่างอีกด้วย ถึงเวลาแล้วที่นักศึกษา ประชาชน ไม่ควรนิ่งเฉยต่อสภาพการณ์ที่ดำรงอยู่ จึงขอเรียกร้องดังนี้

1. ให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับโดยมีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มีการรับฟังความคิดเห็นอย่างอิสระและให้มีการทำประชามติก่อนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ

2. ให้นายกรัฐมนตรีลาออก เปิดทางให้รัฐสภาเลือกนายกรัฐมนตรีที่นำพาประเทศข้ามพ้นวิกฤต มีความเชื่อมั่น มีศักยภาพในการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนได้

3. ให้ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระที่ได้รับการแต่งตั้งในสมัยรัฐประหารลาออก และให้มีการสรรหาบุคคลใหม่เข้าไปแทนที่เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ

ดูจากแถลงการณ์แล้วก็ต้องถือว่า รู้ปัญหา และช่องทางแก้ปัญหา ไม่ใช่มาระบายความอัดอั้นเท่านั้น

ทำไมคนหนุ่มคนสาว
จึงออกมาเคลื่อนไหว
ไม่ยอมอยู่เฉยอีกต่อไป

1.คนกลุ่มนี้อายุประมาณ 18-28 ปี เป็นทั้งนักเรียน นักศึกษา ปริญญาตรี-โท บางส่วนเป็นรุ่นพี่ที่จบไปไม่นาน ทั้งมีงานทำและตกงาน ส่วนใหญ่เพิ่งจะได้เลือกตั้งปี 2562 เพราะในปี 2554 ที่พรรคเพื่อไทยชนะ เลือกตั้งได้ ส.ส.เกินครึ่งสภา พวกคนหนุ่ม-สาวนี้ส่วนใหญ่จะอายุยังไม่ถึง ไม่มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง แต่พวกเขาก็โตพอที่จะรับรู้การเมือง ที่ใช้การเดินเกม ม็อบ กปปส. และกฎหมาย จนสุดท้ายก็ใช้การรัฐประหารโค่นล้มนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในปี 2557 เวลาผ่านไป 5 ปี พวกเขาจึงมีความรับรู้ทางสังคมมากขึ้น ความรับรู้เหตุผลทางการเมืองและเศรษฐกิจมากขึ้น

2. การปลุกผีอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เริ่มใช้ไม่ได้ และก็มาถึงจุดที่พิสูจน์ความเป็นจริงเมื่อมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ จึงสรุปได้ว่า ไม่ใช่เป็นเพราะทักษิณ แต่ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดจะขึ้นมาบริหารบ้านเมืองเสริมสร้างประชาธิปไตยให้ประชาชนจริงๆ คิดสร้างความเท่าเทียมในสังคมจะต้องถูกโค่นล้มลงทันที ตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ ยิ่งลักษณ์ ถึงอนาคตใหม่

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่มีโอกาสได้เข้าทำงานในสภาผู้แทนฯ อย่าไปพูดถึงเป็นนายกฯ เลย

ความหวาดกลัวของกลุ่มอำนาจเก่า ซึ่งยึดครองความได้เปรียบในสังคม ทำให้ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง

3. ความอยุติธรรมในสังคม ที่ใช้ผ่านรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นมาหลังการรัฐประหาร ทั้ง 2550 และ 2560 ก็ส่งผลในทางเลวร้ายให้กับประชาชน และส่งผลกระทบโดยตรงต่อคนหนุ่ม-สาวรุ่นนี้ เช่น ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดมีนาคม 2562 พวกเขาประมาณ 2.5 ล้านคนได้เลือกพรรคอนาคตใหม่ แล้วก็ได้เห็นปรากฏการณ์ในการกีดกัน เหยียบย่ำ จนถึงขั้นยุบพรรค จากนั้นยังได้เห็นกระแสการซื้อ ส.ส.จากพรรคต่างๆ และอนาคตใหม่ เข้าไปสนับสนุนรัฐบาล ซึ่งทำกันอย่างด้านๆ ทำในสภานั่นแหละ

นี่เป็นการปล้นกลางแดด และชิงทรัพย์ ซึ่งเป็นเสียงของประชาชนจำนวนล้านๆ ให้ย้ายข้างไปอยู่ฝ่ายตรงข้าม แม้เสียงนั้นประกาศแล้วจะต่อต้านการสืบทอดอำนาจ ส่วนเจ้าของบ้านก็จะถูกจับไปขัง เพราะมีความผิดที่บังอาจไปสู้กับโจร การปล้นชิงทรัพย์ทางการเมืองแบบนี้ ทำซ้ำอีก มันทำเกินไป ไม่เห็นหัวประชาชน ทำลายความใฝ่ฝันและความหวัง เหมือนกับการลองของ

แถมยังถามว่า… จะทำแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า

 

พวกเขายืนยันว่า
ภายใต้รัฐธรรมนูญแบบนี้
ผู้นำแบบนี้ เราจะตายกันหมด

ครั้งแรกทีมงานของเราก็เข้าใจว่าเด็กๆ ทนเห็นความอยุติธรรมไม่ได้ก็ต่อต้าน เป็นธรรมดาที่คนหนุ่ม-สาวจะต้องมีอุดมการณ์ แต่เมื่อไปคุยแล้ว จึงรู้ว่า เด็กสมัยนี้มีการรับรู้ผ่านสื่อต่างๆ กว้างขวาง มีความเข้าใจในประวัติศาสตร์ มีความรู้ทางการเมือง มีความเข้าใจทางเศรษฐกิจ มีตัวเลขข้อมูลซึ่งยืนยันกับเราได้

เขาบอกว่า ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนของไทย มีช่องว่างที่ห่างกันมากที่สุดในโลก

ผลงานทางเศรษฐกิจตลอด 5 ปีหลัง ก็คือคนจนลงทั่วหน้า มีเพียง 0.01 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่รวยขึ้น มีปรากฏการณ์ที่ออกบัตรคนจน ออกบัตรขอทานเกิดขึ้นในประเทศไทย

ปี 2018 คนรวยในไทย 1% แรก มีทรัพย์สินเพิ่มเป็น 66.9% ได้อันดับ 1 แซงรัสเซียและตุรกี อินเดียที่ตกไปเป็นที่สี่ จาก 58.4% เหลือแค่เพียง 51.5%

ซึ่งนอกจากสี่ประเทศนี้ ก็ไม่มีประเทศไหนในโลกอีกแล้ว ที่คนรวย 1% มีเกินครึ่งคนไทยที่จนสุด 10% มีทรัพย์สิน 0%

และที่น่ากังวลคือ คนครึ่งประเทศไม่มีเหลือเก็บเหลือออม ปัญหาทางสังคมจะเกิดขึ้นแน่

คนไทยเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์มีที่ดินน้อยกว่า 1 ไร่ต่อคน ส่วนคนรวยเพียงตระกูลเดียวอาจมีที่ดินมากกว่าคนจน 10% เช่น ตระกูล “สิริวัฒนภักดี” จำนวน 630,000 ไร่ มีทั้งในนามส่วนตัว ครอบครัว และบริษัทต่างๆ ตระกูลเจียรวนนท์ ของเจ้าสัวซีพี นายธนินท์ เจียรวนนท์ จำนวนไม่ต่ำกว่า 200,000 ไร่

ถ้าดูว่าใครมีเงินมากเงินน้อยก็ยิ่งเห็นความเหลื่อมล้ำชัดเจน

บัญชีเงินฝากมีถึง 80.2 ล้านบัญชี เป็นของผู้ฝากเงิน 37.9 ล้านคน บางคนมีหลายบัญชี มีปริมาณเงินฝากรวมทั้งสิ้น 12 ล้านล้านบาท คิดเป็น 72% ของเงินฝากในระบบทั้งหมด

พร้อมประชดว่า คนไทย 21.2 ล้านคน มีเงินในบัญชีไม่ถึง 3,142 บาท นี่ยังพอเรียกได้ว่าเป็นผู้มีอันจะกิน

และคนที่จนกว่าอีก 7.7 ล้านคน มีเงินในบัญชีไม่ถึง 500 บาท กลุ่มนี้คงเป็นชนชั้นร้อยกลาง

ส่วนอีก 4.7 ล้านคนที่มีเงินฝากในบัญชีเฉลี่ย 34 บาท

นี่คงเป็นคนจนสิบหาย

สภาพชีวิตจริงของผู้คนในสังคมที่ยากลำบากมากขึ้นทุกวัน ถึงขั้นฆ่าตัวตายตายเองคนเดียว และทั้งครอบครัว

แกนนำที่ไม่เป็นทางการสรุปว่า ความเหลื่อมล้ำและความอยุติธรรมตลอดช่วง 5+5 ปีที่ผ่านมา เป็นตัวกระตุ้นให้ศึกษาจนสามารถวิเคราะห์เหตุการณ์ปัจจุบันและประเมินอนาคตได้

พวกเขาจะต้องเป็นคนแบกรับปัญหาและหนี้สิน
ของประเทศในตลอด 20-40 ปีข้างหน้า

คนหนุ่ม-สาวเหล่านี้ก็รู้ชะตากรรมของตัวเองว่า ถ้าไม่ต่อสู้ให้ได้เป็นประชาธิปไตย จะไม่มีโอกาสเลือกผู้นำที่มีความสามารถมาบริหารให้ประเทศดีขึ้น เราจะพากันตายหมด

พวกเขามองเห็นอนาคตแล้วว่า แค่ต้องการที่อยู่อาศัยเป็นคอนโดมิเนียม ห้องเล็กๆ หรือบ้าน ทาวน์เฮาส์สักหลัง ก็ไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ ไม่มีระบบสวัสดิการเงินทอนที่มาเผื่อแผ่ถึงประชาชน ถ้ามีงานทำก็ต้องผ่อนตลอดชีวิต ยิ่งถ้ามีงานทำบ้างไม่มีบ้าง ยิ่งหมดโอกาส

สิ่งที่พวกเขาได้รับผลกระทบกับตัวเองเฉพาะหน้า ก็คือการเรียนจบและจะต้องตกงานไม่ได้

หมายความว่าเฉพาะพวกที่จะจบรุ่นนี้ พวกที่จบไปแล้วตอนนี้ก็ว่างงานเยอะ ในสถานการณ์เศรษฐกิจที่ตกต่ำ แต่ได้ผู้บริหารที่ไร้ฝีมือแบบนี้ การละลายเงินที่ไม่มีผลต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การทุจริตคอร์รัปชั่นในการจัดซื้อจัดจ้าง ทำสัญญาสัมปทาน จะให้ประโยชน์กับคนกลุ่มน้อย ในขณะคนส่วนใหญ่ในประเทศจะต้องจนลงไปเรื่อยๆ

ถ้าเป็นแบบนี้อย่าว่าแต่เด็กที่เรียนปี 1 ในปัจจุบัน แม้นักเรียนมัธยมปลายก็ต้องตกงานเมื่อเรียนจบ ป.ตรี

พวกแกนนำรู้ข้อมูลต่างๆ ดีมาก ข้อสรุปของพวกเขาคือ “เราไม่อยากอยู่ในสังคมที่อยุติธรรม เราไม่อยากตกงาน เราไม่ต้องการมีเงินในบัญชีไม่ถึง 500 บาท และเราก็จะไม่ฆ่าตัวตาย”

เพราะในโลกที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยจึงต้องการผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล การบริหารประเทศทุกวันนี้ไม่ใช่ใครอยากจะมาทำก็มาทำได้ การมีตำแหน่งรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เรื่องเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล

แต่มันส่งผลกระทบต่อชีวิตเลือดเนื้อ ความสุขหรือความลำบากยากแค้นของชาวบ้าน

จะให้คนที่ไม่ค่อยรู้เรื่อง มีวิสัยทัศน์แค่ปากซอยบ้านตัวเองมากำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีได้อย่างไร

เพียงแค่บอกว่า 20 ปีก็รู้แล้วว่า…โง่…จนไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก

เด็กๆ จะเรียนรู้และปรับตัวเอง พวกเขาเก่งกว่าคนรุ่นเก่า พวกเด็กๆ บอกว่า พวกคนรุ่นก่อนคิดมาก กังวลไปทุกเรื่อง ช่วงนี้คงต้องสอบก่อน สอบเสร็จลุยกันต่อ

สภาพของพวกเขาในวันนี้อาจจะยังไม่รู้จักกันดี แต่ก็ต้องร่วมรับชะตากรรมเดียวกัน ไม่มีทางเลือกมากนัก ถ้าเขาไม่ต่อสู้ตั้งแต่วันนี้จะให้เริ่มเมื่อไร เพราะคนที่จะแบกรับสังคมคนแก่ในวันข้างหน้าคือพวกเขา

อีกไม่นานพวกเขาก็คงมีข้อเรียกร้องที่เป็นทางการต่อรัฐบาล เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงสภาพสังคมที่พวกเขาจะต้องเป็นคนแบกรับปัญหา และหนี้สินในตลอด 20-40 ปีข้างหน้า

สำหรับเรา คนที่ผ่านโลกมานาน ก็ได้แต่นึกถึง…เส้นทางเดินของคนหนุ่ม-สาวหลายรุ่น ผ่านบทเพลง

…แด่หนุ่ม-สาวผู้ร้าวราน ของ จรัล มโนเพ็ชร…

เชิญเปิด youtube music ฟังเพลงแห่งชีวิตของพวกเขา การอ่านบทความนี้จึงจะสมบูรณ์

 

ความเป็นจริงที่เผชิญหน้าอยู่

ออกจะดูอึมครึมและหนักแรง

โตกันมาก็ไม่ทันจะแกร่ง

ยังแจกแจงตัวเองไม่เสร็จเลย

เป็นไปเองอย่างที่พอจะเป็น อย่างที่เห็นที่อ้างเอ่ย

ใจชินชากับดวงตาเฉยเมย กับชีวิตที่เปราะบาง

ในเวลาที่ดวงใจหดหู่ จะได้ใครมาดูมาบอกทาง

คนจน คนรวย ย่อมจะมีช่องห่าง

ที่เคลือบคลางแคลงใจและด่างดำ

*คือทำนองล่องลอยในสายลม

บอกความขมและต้อยต่ำ

ความเป็นจริงกลิ้งอยู่บนถ้อยคำ

ที่ตอบคือช้ำและตีบตัน

มีปัญญาหาอะไรมาใหม่ใหม่

มาแต่งเติมดวงใจให้ใฝ่ฝัน

ทางยังไกลก็ต้องทนบากบั่น

ถ้าสั่นกลัว มีเกรง ไม่เก่งจริง

ความรวนเร แห่งทะเลสังคม

ง่ายจะล้มจะจมดิ่ง

ความเป็นคน อยู่บนการช่วงชิง

เบื่อจะทิ้งก็อดตาย