ทรัมป์กับมุสลิม ตอนที่ 2 : โวหารการต่อต้านมุสลิม และ การใช้ถ้อยคำว่าด้วยการก่อการร้าย

จรัญ มะลูลีม

คลิกอ่านตอนอื่นๆ

โวหารการต่อต้านมุสลิม

ในการตั้งคำถามว่าโอบามามีความจริงจังที่จะจัดการกับการใช้ความรุนแรงหรือไม่นั้น

ทรัมป์ได้แนะนำว่าตัวของโอบามาเองอาจจะเป็นมุสลิมก็ได้

ในการกล่าวถึงนโยบายต่างประเทศ ทรัมป์ได้ย้ำถึงข้อเสนอของเขาที่ห้ามชาวมุสลิมเข้าสหรัฐชั่วคราว

เบื้องลึกของเรื่องนี้อยู่ที่เหตุผลเดียวคือนักฆ่าแห่งออร์ลันโด (Orlando) อุมัร มาตีน (Omar Mateen) อยู่ในสหรัฐ และประการแรกสุดที่เขาทำคือเขายอมให้ครอบครัวมาอยู่ที่นี่ ทรัมป์กล่าว

ทรัมป์ยังได้วิจารณ์แถลงการณ์ของ ฮิลลารี คลินตัน ว่าคลินตันต้องการใช้คำว่า “ลัทธิอิสลามนิยม” เพื่อบอกถึงการคุกคามต่อต้านสหรัฐ ทั้งนี้ ในตอนต้นเธอปฏิเสธที่จะใช้คำคำนี้แต่เลือกที่จะใช้คำว่า นักญิฮาดสุดโต่ง (radical jihadism)

อย่างไรก็ตาม ฮิลลารี คลินตัน ได้กล่าวเพิ่มเติมว่าสำหรับเธอแล้ว “เรื่องสำคัญมันอยู่ที่ว่าเราทำอะไรมากกว่าเรากล่าวอะไร” เธอย้อนรำลึกถึงบทบาทของเธอในปฏิบัติการสังหาร อุสามะฮ์ บิน ลาดิน

“ผมกระแทกโอบามาและฮิลลารีที่ไม่ซื่อตรงอย่างแรงที่ไม่ใช้คำว่าผู้ก่อการร้ายหัวรุนแรงอิสลาม” ทรัมป์ทวีต และกล่าวว่า

“ฮิลลารีก็ได้แต่โต้กลับว่าตอนนี้เธอจะใช้คำว่าลัทธิอิสลามนิยม”

การใช้ถ้อยคำว่าด้วยการก่อการร้าย

ทรัมป์กล่าวว่าโอบามาไม่ได้ใช้คำว่า “อุสลามสุดโต่ง” หรือ “นักอิสลาม (Islamist) เพื่อกล่าวถึงลัทธิก่อการร้าย ในการให้สัมภาษณ์ ทรัมป์กล่าวถึงโอบามาว่าเขาไม่เข้าใจหรือไม่ก็เข้าใจดีกว่าที่คนอื่นๆ เข้าใจไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งและไม่มีใครให้การยอมรับ”

ในความเป็นจริงเป็นเรื่องไม่ถูกต้องที่จะนำเอาคำว่าอิสลามหรือศาสนาใดมาโยงกับคำว่าสุดโต่งหรือการก่อการร้ายอันเนื่องมาจากความจริงที่ว่าไม่มีคำสอนของศาสนาใดที่สนับสนุนการก่อการร้ายหรือความรุนแรง

ดังนั้น การนำคำว่านักญิฮาด (Jihadist) นักอิสลาม (Islamist) มาใช้อธิบายการกระทำของชาวมุสลิมบางกลุ่ม ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยจึงไม่สมควรกระทำ

นอกจากนี้ ในทุกศาสนาก็มีคนจำนวนหนึ่งนำเอาศาสนามาใช้เพื่อหาความชอบธรรมเช่นกัน

ทรัมป์ซึ่งได้ชื่อว่าไม่เชื่อในศาสนาเช่นเดียวกับ จอห์น แม็กเคน อดีตคู่แข่งของโอบามาก็เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งนำเอาคำว่าผู้ก่อการร้ายอิสลามสุดโต่งมาใช้หาเสียงอันเป็นการแสดงให้เห็นว่าทรัมป์มีอคติกับอิสลามมาโดยตลอด

และไม่เข้าใจสปิริตที่แท้จริงของอิสลาม

ในเรื่องนี้ทรัมป์กล่าวว่าเราถูกนำโดยคนที่หากไม่มีความเข้มแข็ง ไม่มีความสามารถ หรือไม่ก็มีอะไรอยู่ในหัวแล้ว ประชาชนก็ไม่อาจเชื่อถือได้ ประชาชนไม่อาจเชื่อได้ว่าประธานาธิบดีโอบามาได้กระทำในสิ่งที่เขาทำและไม่สามารถแม้จะกล่าวคำว่าผู้ก่อการร้ายอิสลามสุดโต่ง (radical Islamic terrorisms) มีบางสิ่งบางอย่างกำลังดำเนินต่อไป มันเป็นสิ่งที่นึกไม่ถึง

ในปี 2012 ทรัมป์ได้นำเสนอว่าโอบามาไม่ได้เกิดในสหรัฐและนั่นเขาอาจเป็นมุสลิม

ข้อสังเกตนี้มีความสำคัญตามมาในสหรัฐ ดูได้จากการสำรวจในปี 2015 จากการสำรวจของโพลต่างๆ ที่พบว่าร้อยละ 45 ของฝ่ายรีพับลิกันและร้อยละ 23 ของชาวสหรัฐเชื่อว่าความจริงแล้วโอบามาเป็นมุสลิม

การที่ทรัมป์เรียกร้องไม่ให้ชาวมุสลิมเข้ามาสหรัฐได้รับการสนับสนุนร้อยละ 42 จากชาวสหรัฐตามรายงานของรอยเตอร์โพล (Reuters poll) ในสัปดาห์แรกของเดือนกรกฎาคม ปี 2016 โอบามาไม่มีแผนที่จะเปลี่ยนแนวทางการพูดของเขาว่าด้วยลัทธิก่อการร้าย จอชห์ เออร์เนสต์ (Josh Earnest) เลขาธิการสิ่งพิมพ์ของทำเนียบขาวกล่าว

เขากล่าวต่อไปว่า “มันทำให้ผู้ก่อการร้ายทำในสิ่งที่อยากทำ ซึ่งเป็นความชอบธรรม ละเลยความสัมพันธ์กับนักก่อการร้ายในบ้านและนอกบ้านที่เป็นชาวมุสลิม หลายองค์การได้นำเอาศาสนาอิสลามมาใช้ในทางที่ผิดเพื่อหาเหตุผลให้กับการฆาตกรรมของพวกเขา ซึ่งเป็นแผนการทำลายล้างที่เห็นๆ กันอยู่แล้ว”

ในขณะที่ ฮิลลารี คลินตัน ดูเหมือนจะเข้าใจและให้เกียรติต่อทุกศาสนาดังที่เธอได้กล่าวว่าการพูดคุยเรื่องลัทธิการก่อการร้ายมิได้มีเป้าหมายอยู่ที่ทุกศาสนา

“ดิฉันไม่ต้องการแบ่งแยกและประกาศสงครามกับศาสนาทั้งหมด นี่เป็นอันตรายที่เห็นได้อย่างชัดเจน” เธอกล่าว