ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 กุมภาพันธ์ 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ภาพยนตร์ |
ผู้เขียน | นพมาส แววหงส์ |
เผยแพร่ |
ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์
1917
‘นรกบนดิน’
กำกับการแสดง Sam Mendes
นำแสดง Dean-Charles Chapman George Mackey Colin Firth Mark Strong
Benedict Cumberbatch
หนึ่งในหนังที่ส่งประกายฉายแสงบนเวทีประกวดภาพยนตร์ของปีนี้คือ 1917
เพิ่งได้รับรางวัลลูกโลกทองคำมาหมาดๆ และกำลังลุ้นชิงออสการ์ในเร็วๆ นี้ สำหรับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม และอื่นๆ อีกหลายสาขา
จากผลงานการเขียนบทของผู้กำกับฯ แซม เมนเดส เจ้าของผลงานยอดเยี่ยมมากมาย ที่เด่นๆ คือ American Beauty, Revolutionary Road, Road to Perdition และ Skyfall
คราวนี้เซอร์แซม เมนเดส คิดการใหญ่หวังสูงอย่างยิ่งในด้านเทคนิคการนำเสนอเรื่องราวด้วยการถ่ายทำทั้งเรื่องโดยการเดินกล้องต่อเนื่องไปตลอด
เรียกว่าเป็น a single-take movie เดินกล้องตามตัวละครไปเรื่อยๆ โดยตลอดไม่มีการตัด ไม่มีการเปลี่ยนมุมมอง
การเดินกล้องแบบนี้ไม่ใช่เทคนิคใหม่สำหรับภาพยนตร์ มีคำศัพท์เรียกเฉพาะเลยด้วยซ้ำว่า single-shot และมีตัวอย่างของหนังดังๆ อย่างเช่น Birdman ที่กำกับฯ โดยอินาร์ริตู แต่ได้ลองค้นดูแล้ว ก็พบว่าใช่ว่าจะถ่ายโดยการเดินกล้องต่อเนื่องไปตลอดจริงๆ แต่เป็นการตัดต่อให้ดูเสมือนว่าเป็นการเดินกล้องต่อเนื่องไปตลอด
ใน 1917 มีหมายเหตุว่าเป็นหนังซิงเกิลช็อต ซึ่งขาดตอนไปชั่วขณะระหว่างที่ตัวละครที่เป็นสายตาของเรื่องนั้นหมดสติไปชั่วขณะ และเมื่อฟื้นขึ้นก็กลับมาเดินกล้องต่อไปจากจุดที่ขาดหายไป
เราได้ดูหนังเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่งไม่มากเท่าเรื่องราวในสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ชื่อเรื่องซึ่งเป็นปีคริสต์ศักราชก็บอกอยู่ในตัวแล้วว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นระหว่างสงครามโลกครั้งแรก
เฉพาะเจาะจงลงไปชัดๆ คือวันที่ 6 เมษายน ค.ศ.1917
ในสมรภูมิบนภาคพื้นทวีปยุโรป บริเวณฝรั่งเศสภาคเหนือ ซึ่งเป็นดินแดนที่เยอรมนีเข้ายึดครองและอังกฤษส่งทหารไปปกป้องและปลดปล่อย ฝรั่งเศสเป็นสมรภูมิที่ดุเดือดเลือดพล่านที่สุดแห่งหนึ่ง
สิบตรีสโคฟีลด์ (จอร์จ แม็กคีย์) ถูกปลุกขึ้นจากการผล็อยหลับไปช่วงสั้นๆ ระหว่างประจำการอยู่ในสนามรบให้ไปพบผู้บังคับบัญชา นายพลเอรินมอร์ (คอลิน เฟิร์ธ) เพื่อรับคำสั่งสำหรับภารกิจเฉพาะ โดยให้นำเพื่อนไปด้วยหนึ่งนาย สโคฟีลด์เลือกสิบตรีเบลก (ดีน-ชาร์ลส์ แชปแมน) ไปด้วย
และได้รับคำสั่งให้เดินเท้าฝ่าแดนอันตรายไปส่งข่าวสำคัญให้แก่กองทหารอังกฤษอีกหน่วยที่อยู่ห่างออกไปหลายไมล์
เนื่องจากได้รับข่าวกรองจากการสอดแนมทางอากาศมาว่ากองทัพเยอรมนีที่ดูท่าว่าจะล่าถอยไปนั้น น่าจะเป็นกลลวง เพื่อคอยซุ่มโจมตีกองทัพอังกฤษที่ชะล่าใจรุกไล่ติดตาม
วิทยุสื่อสารใช้การไม่ได้ในขณะนั้น และการส่งข่าวด้วยคนส่งสารทางเท้าเป็นทางเดียวที่จะแจ้งให้กองทหารเพื่อนร่วมชาติรับรู้ทันการณ์ มิฉะนั้น ทหารร่วม 1,600 คนจะตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต
ภาระอันหนักอึ้งตกอยู่บนบ่าของสิบตรีเล็กๆ สองนายซึ่งต้องฝ่าแดนอันตรายเข้าไปในเขตต้องห้ามที่เรียกว่า no man’s land และโดยเฉพาะสิบตรีเบลกมีพี่ชายร่วมสายโลหิตประจำการอยู่ในกองพันที่สองของกองทหารเดวอนเชียร์ที่กำลังจะรุกตามไล่หลังกลลวงของทัพเยอรมนีที่ทำทีล่าถอยไปนั้น
เรื่องราวที่หนังเล่าคือการพาคนดูติดตามสองหนุ่มเข้าไปในดินแดนอันชวนหดหู่กลางสมรภูมิสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยแทบไม่รู้เหนือรู้ใต้ เพื่อไปให้ถึงจุดหมายให้ทันก่อนที่กองพันที่สองแห่งเดวอนเชียร์จะถลำลึกและเพลี่ยงพล้ำต่อข้าศึกจนไม่เหลือทหารรอดชีวิตสักคน
สโคฟีลด์และเบลกเดินเท้าฝ่าเข้าไปในดินแดนรกร้างที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังจากการสู้รบ ภูมิประเทศรกร้างเป็นสีเทา ประหนึ่งอยู่ในฝันร้าย มีแต่ตอไม้ผุๆ หักพัง โคลนตม ซากศพม้าและทหารที่ตายเกลื่อน มีแมลงวันตอม และหนูแทะกิน
ภาพที่สงครามและการสู้รบทิ้งไว้เบื้องหลัง ไม่มีผู้แพ้ผู้ชนะ มีแต่การสูญเสีย
หนังพาเราเข้าไปรับรู้ถึงความกลัวที่ไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่เบื้องหน้า และความตายที่อยู่ใกล้แค่มือเอื้อม ชีวิตที่ยังเหลือรอดอยู่ก็แขวนอยู่บนเส้นด้ายอันเบาบาง ไม่รู้ว่าจะขาดผึงลงเมื่อไร
นี่คือเจตนาของการออกแบบโปรดักชั่นและการเดินกล้องโดยต่อเนื่องไปไม่ขาดสาย เพื่อสร้างการรับรู้เช่นนี้ในแง่ประสบการณ์ของคนดู
ในแง่นี้หนังทำได้ดีมากนะคะ เหมือนประสบการณ์ที่ถ่ายทอดมาในหนังสงครามดีๆ อย่าง Saving Private Ryan และ Dunkirk เลย
เสียอย่างเดียวคือขาดการสรุปจบที่มีประเด็นแหลมคมเหมือนในหนังสองเรื่องข้างต้น
ผู้เขียนจำได้ว่าตอนดู Saving Private Ryan ความสมจริงของสงครามที่เกิดขึ้นบนจอนั้นทำให้เราหลุดเข้าไปในนั้นเหมือนไปสัมผัสกับประสบการณ์จริง และรู้สึกปฏิเสธไม่อยากอยู่ในนั้น จนนึกอยากลุกออกจากโรงไปก่อนหนังจบ แต่มนต์สะกดของผู้กำกับฯ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ยังเชิญชวนให้ดูต่อไปอีกนิดๆๆ พอดูต่อมาจนจบ จึงโดนใจอย่างจัง และรู้สึกซาบซึ้งกับความหมายของชีวิตมากขึ้น
พลทหารไรอันได้รับการช่วยเหลือด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นที่สุดอย่างหนึ่ง คนจำนวนหนึ่งต้องนำชีวิตไปทิ้งเพื่อให้เขากลับคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอน โลกทั้งโลกดูจะไร้แก่นสารและปราศจากความหมายโดยสิ้นเชิง ทว่า “สาร” ที่สื่อออกมาในตอนท้ายคือ ชีวิตที่ยังเหลืออยู่ท่ามกลางความสูญเสียและการเสียสละของคนทั้งหลายทั้งปวงที่มาก่อนหน้าเรานั้น เราไม่ควรโยนทิ้งไปอย่างเปล่าประโยชน์ เราควรเห็นคุณค่าของชีวิตในทุกอณูและใช้ชีวิตให้ดีที่สุด อย่างน้อยก็เพื่อเห็นแก่คนที่พลีชีพไปเพื่อให้เรายังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้
แต่ตอนจบของ 1917 ไม่ชกโดนเราเหมือนอย่างนั้น
เป็นหนังดีมากนะคะ เสียดายที่ยังขมวดเนื้อหาไม่ได้โดนใจอย่างที่น่าจะเป็น
มีนักแสดงระดับแถวหน้าที่คุ้นหน้าคุ้นตาปรากฏตัวในฉากสั้นๆ พอเป็นกระสาย คือ คอลิน เฟิร์ธ มาร์ก สตรอง และเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ แต่ทั้งดีน-ชาร์ลส์ แชปแมน และจอร์จ แม็กคีย์ ในบทนายสิบสองคนที่แบกภาระการช่วยชีวิตทหารทั้งกองพันไว้ ก็ดึงให้เราอยู่กับเรื่องได้โดยตลอด
ไว้รอลุ้นดูอีกทีสัปดาห์หน้าว่าหนังเรื่องนี้จะได้รางวัลอะไรอีกบ้าง