ใส่บ่าแบกหาม/พรพิมล ลิ่มเจริญ /Live Twice, Love Once

ใส่บ่าแบกหาม/พรพิมล ลิ่มเจริญ

Live Twice, Love Once

 

เธอจ๊ะ

รายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ออกมาแล้ว น่าผิดหวังมาก แต่ก็แหละทางเราก็ไม่มีโอกาสจะได้ดูทุกเรื่อง แต่ก็พบว่าฉันได้ดูมากพอจะรู้ว่ามันไม่สบอารมณ์ฉันอยู่หลายรางวัล

อย่าง Greta Gerwig ผู้กำกับฯ Little Women ไม่ได้เข้าชิงรางวัลสาขากำกับการแสดง อันนี้เคืองสุดๆ

หันมาดูหนังสเปนกันเลยแก้เซ็งฮอลลีวู้ด

Vivir dos Veces ชื่อภาษาสเปน แปลว่า Live Twice พอเป็นชื่อภาษาอังกฤษเขาเติมคำเข้าไปให้ยาวขึ้นอีกเป็น Live Twice, Love Once

เป็นเรื่องของชายสูงวัยใกล้จะมีอาการอัลไซเมอร์เต็มรูปแบบ แต่อยากพบเจอรักครั้งแรกเมื่อสมัยยังเยาว์วัยเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็ได้หลานสาวตัวน้อย ตามมาด้วยลูกสาว ช่วยพากันไปตามหานางในฝันคนดีคนเดิมคนนั้น

หนังดีนะ ซาบซึ้งประทับใจ เหมาะกับเราๆ ในการเตรียมตัวดูแลพ่อ-แม่และตัวเอง

 

เรื่องก็เริ่มที่ Emilio เคยเป็นอาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ตอนนี้เกษียณแล้ว

อยู่มาวันหนึ่งก็ไปพบแพทย์ แพทย์ตรวจพบว่ามีอาการเกี่ยวกับความจำ

มีเจ้าหน้าที่ก็มาจัดการถามคำถามเพื่อหารายละเอียดอาการ อันทำให้คุณเอมิลิโอ้แสนจะหงุดหงิด เสียงดังใส่ “ผมเป็นถึงอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ในมหาวิทยาลัย” ยิ่งใหญ่มากเลยใช่ไหมอาชีพนี้?

เสียงเริ่มเข้มขึ้นเรื่อยๆ ยังใช้ I am ต้องเปลี่ยนเป็น I was แล้วไหม? เกษียณแล้วนี่นะ

แกเอาอาชีพมาข่ม เพราะแกคิดว่าเจ้าหน้าที่คิดว่าแกปัญญาอ่อน ทำมาเป็นพูดช้าๆ เสียงยานๆ แกจึงคิดว่าอาชีพเดิมจะแสดงว่าข้าพเจ้านี้มีปัญญาดี มาถามคำถามนั้นเยี่ยงนั้นได้เล่า…งี่เง่าหนา ถามมาได้แบบนั้น!

“What year are we in?” ปีนี้ปีอะไร?

“What season?” ฤดูอะไร?

“What city are we in?” เราอยู่เมืองไหน?

“And what place are we in?” ที่ที่เราอยู่นี้คือที่ไหน?

คำถามสุดท้ายนี้ คุณเอมิลิโอ้เลยตอบไป “Prison.” คุก แทนที่จะบอกว่าโรงพยาบาล

Of those thirty, you give me three.

How many are left?

มีเหรียญ 30 เหรียญ

ให้มาสามเหรียญ จะเหลือเท่าไหร่?

คำถามที่ให้บวกลบเลขยิ่งโกรธ

แต่ก็ผ่านไปได้ ได้ไปพบแพทย์เจ้าของไข้ แพทย์ก็อธิบายเรื่องระบบความจำในสมองให้ฟัง

คุณเอมิลิโอ้มีแต่ภาพสาวน้อยน่ารักที่ได้พบที่ริมฝั่งน้ำเมื่อครั้งก่อนกาลในหัวสมอง ไหนหมอบอกว่าจะค่อยๆ ลืม ตัวแกลืมทุกสิ่งยกเว้นเรื่องนี้ ของมันเลือกไม่ได้

I would like to talk

with a family member.

ผมต้องขอพูดคุย

กับสมาชิกในครอบครัว

หมออยากเริ่มวางแผนให้คนไข้

I don’t have any…

I have nobody.

ผมไม่มีญาติ

ผมไม่มีใคร

ฉากนี้ตลก ตัดภาพมา หมอกับคุณเอมิลิโอ้เดินลงบันไดเลื่อนมาด้วยกัน มีผู้หญิงคนหนึ่งทักหมอก่อน แล้วหันมาเจอคุณเอมิลิโอ้ เลยเรียกเสียงดัง “Dad?”

Ah, did I forget

to mention my daughter?

เอ๊า ลืมบอกไปสินะ

ว่ามีลูกสาว?

ลูกสาวเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายหรือเซลส์ขายพัสดุภัณฑ์การแพทย์ เข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลบ่อยๆ

What will people think of me

if you tell them you have no family?

คนเขาจะคิดยังไง

พ่อบอกเขาว่าไม่มีครอบครัว?

 

ลูกสาวเคืองพ่อ แต่ก็ชวนมากินข้าวกันวันอาทิตย์ จะได้เจอสามีหรือลูกเขยและหลานสาว

ลูกสาวชื่อจูเลีย สามีเป็น life coach ต้องพูดโทรศัพท์ ต้องออนไลน์กับผู้ติดตามอยู่เสมอๆ

ที่โต๊ะอาหาร จูเลียก็ประกาศว่า พ่อควรมาอยู่ที่บ้านนี้ด้วยกันสักพัก ให้อยู่ห้องลูกสาว

หนูน้อย Blanca จึงต้องคัดค้าน

Take him to an old folk’s home

like everyone else.

พาตาไปอยู่บ้านพักคนชรา

เหมือนคนอื่นๆ สิ

บลังก้าไม่ต้องห่วง เพราะตาเองก็ไม่อยากมาเอามากๆ อยากอยู่บ้านตัวเอง

จูเลียประสาทเสียที่พ่อไม่ยอม แต่แล้วก็คิดออก

Yes, you can stay in your own house.

But with a cell phone.

พ่อจะอยู่บ้านตัวเองก็ได้

แต่ต้องมีโทรศัพท์มือถือ

จะได้ติดต่อได้ตลอดเวลา พ่อใช้ไม่เป็นก็ไม่ใช่ปัญหา เดี๋ยวให้หลานสาวไปสอน

Those things fry your brain.

โทรศัพท์มันทำลายสมอง

คุณตาเอ่ยปาก

Yours is already fried, right?

สมองคุณตาโดนทำลายแล้วป่ะ?

หลานสาวสวนกลับทันใจ ตลกดี

หลานสาวมีความตลก ตอนเจอว่าพ่อมีผู้หญิงอื่น แล้วพ่อพยายามซื้อโทรศัพท์มาติดสินบน ไม่ให้บอกแม่

Sixteen gigabytes? Seriously?

I only sell out for 64 and up.

16 กิ๊ก? จริงดิ๊?

หนูขายที่ 64 ขึ้นไป

sell out หมายถึง ขายหมด แบบขายตั๋วคอนเสิร์ต หรือขายของหมดเกลี้ยง อย่างที่เรามักเห็นแปะหน้าเคาน์เตอร์ขายว่า Sold out

อยากบอกร้านค้าออนไลน์ว่าควรแยกให้ออก ระหว่าง sold กับ sold out ฉันสังเกตเห็นว่าใช้ sold out กันดาษดื่นแม้ของสิ่งนั้นจะมีชิ้นเดียว ก็ความที่ฉันชอบซื้อจานชามเก่า ใช้แล้ว มือสอง แต่สวยมากไง แม่ค้าก็มีชิ้นเดียว ถ้าขายออกแล้วอย่าแปะว่า sold out สิ แปะว่า sold ก็พอ

เพราะ sold out ใช้กับของที่มีหลายๆ ชิ้นที่ขายหมดเกลี้ยงแล้ว

 

หลังเลิกเรียน หลานเลยมักมาบ้านคุณตา สอนใช้โทรศัพท์มือถือ “A cell phone is God.” หลานสอนสั่งคุณตา ดังนั้น เมื่อได้รู้จักพลานุภาพแห่งโทรศัพท์มือถือ คุณตาเลยพอจะเห็นหนทางตามหา “มาการิตต้า” สาวน้อยน่ารักในฝันคนนั้น คุณตาจะออกเดินทางไป คุณหลานเลยจะติดตามไปด้วย

Your mother would kill me.

แม่หลานเอาตาย

คุณตารู้สึกกริ่งเกรง

You’re going to die anyway, right?

ยังไงคุณตาก็จะตายอยู่แล้วป่ะ?

หลานมั่นใจว่าต้องได้ไปด้วย

แล้วสถานการณ์ก็นำพาให้คุณตา หลาน และไม่ช้าไม่นานลูกสาวคุณตาหรือแม่นั่นเอง ได้มาร่วมเดินทางด้วยกัน

หนังดีน้ำตาไหลตอนจบ ไม่แพ้ The Notebook ที่ฉายเมื่อปี 2004 นั่นเลย

เป็นหนังอีกเรื่องที่ทำให้เราจะคิดถึงโรคอัลไซเมอร์พร้อมกับคิดถึงความรัก ความทรงจำอันแสนงาม พร้อมกับความจริงของชีวิต

ฉันเอง