วงค์ ตาวัน | หลังคำสั่งฟ้าผ่า

วงค์ ตาวัน

อันที่จริง พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา ถือว่าเป็น 1 ในรอง ผบ.ตร. ที่มีโอกาสเข้าชิงตำแหน่ง ผบ.ตร.ต่อจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ซึ่งจะครบเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน 2563 นี้ แต่วันนี้ก็คงต้องตัดชื่อนี้ออกไปได้แล้ว

จากคำสั่งย้ายฟ้าผ่า พล.ต.อ.วิระชัยให้ไปปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งลงนามโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เท่ากับหลุดพ้นจากการทำหน้าที่รอง ผบ.ตร. ไปนั่งตบยุงที่สำนักนายกรัฐมนตรี

“รวมทั้งยังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ พล.ต.อ.วิระชัยพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่นายตำรวจราชองครักษ์อีกด้วย”

เท่ากับเส้นทางรอง ผบ.ตร.ต้องสะดุดหงายหลังอย่างรุนแรง

“จึงกล่าวได้ว่า ในบรรดาตัวเต็ง ผบ.ตร.คนต่อไป ไม่ต้องพูดถึงชื่อนี้อีกแล้ว!!”

พร้อมๆ กันมีอีก 1 รอง ผบ.ตร.ที่โดนฟ้าผ่าไปพร้อมกันด้วย นั่นคือ พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย หรือบิ๊กช้าง นายตำรวจมือสืบสวนคนดัง

โดยถูกย้ายไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร. แม้ว่าจะต้องพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่รอง ผบ.ตร.เช่นเดียวกับ พล.ต.อ.วิระชัย แต่ก็ยังเบากว่าเพราะไม่ต้องออกนอกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

แต่ก็ต้องพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่นายตำรวจราชองครักษ์เหมือนกับ พล.ต.อ.วิระชัยด้วย

สำหรับกรณีบิ๊กช้าง พล.ต.อ.ชัยวัฒน์เป็นนายตำรวจที่จะครบเกษียณในเดือนกันยายนนี้ จึงไม่มีสิทธิ์เข้าแข่งชิงเก้าอี้ ผบ.ตร.แต่อย่างใด

“เพียงแต่เป็นการจบชีวิตราชการอย่างไม่สวยสดนัก”

สำหรับเบื้องหลังการย้ายฟ้าผ่า 2 รอง ผบ.ตร.ครั้งนี้ ถือว่ากระจ่างขึ้นทันที เมื่อต่อมามีคำสั่งลงนามโดยนายกรัฐมนตรี

“ตักเตือนอย่างดุดัน ให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือบิ๊กโจ๊กคนดัง รักษาจรรยาและวินัยข้าราชการ”

ในหนังสือตักเตือนดังกล่าวระบุว่า หลังจากมีคำสั่งลงวันที่ 9 เมษายน 2562 ให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ขาดจากการเป็นข้าราชการตำรวจ และให้โอนไปเป็นข้าราชการพลเรือน ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

นายกรัฐมนตรีเห็นสมควรให้ตักเตือน โดยมีการระบุรายละเอียดหลายประการ เช่น ต้องไม่กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ไม่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต ไม่รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา ไม่ปฏิบัติราชการอันเป็นการกระทำการข้ามผู้บังคับบัญชาเหนือตน

รวมทั้งให้รักษาความลับของทางราชการ มีความสุภาพเรียบร้อย รักษาความสามัคคี ช่วยเหลือการปฏิบัติราชการระหว่างข้าราชการด้วยกันและผู้ร่วมปฏิบัติราชการ

ผู้รู้ในวงการสีกากีระบุว่า คำสั่งเด้ง พล.ต.อ.วิระชัย พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ และคำสั่งตักเตือน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์นั้น

มีที่มาที่ไปเชื่อมโยงเป็นเรื่องเดียวกันอย่างแน่นอน!

แฟ้มภาพ

ทั้งหลายทั้งปวง เริ่มต้นจากเหตุการณ์มือมืดยิงรถของบิ๊กโจ๊ก แล้ว พล.ต.อ.วิระชัยในฐานะรักษาการ ผบ.ตร. ปรากฏตัวในที่เกิดเหตุ มาตรวจสอบคดีอย่างสนใจใกล้ชิด โดยเป็นจังหวะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ไปราชการต่างประเทศ ทำให้ พล.ต.อ.วิระชัยในฐานะรอง ผบ.ตร.อาวุโส ได้ทำหน้าที่รักษาการแทน

จากนั้นเรื่องราวบานปลาย เมื่อ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ให้สัมภาษณ์กระทบถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ระบุว่า ต้องรับผิดชอบถ้าหากจับมือยิงรถไม่ได้ รวมทั้งจุดพลุเรื่องที่มีการร้องเรียน ป.ป.ช.ในโครงการไบโอเมตริกซ์และรถสายตรวจไฟฟ้าอัจฉริยะ

ตามด้วยคลิปหลุด ซึ่งเป็นการอัดเสียงสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ กับ พล.ต.อ.วิระชัย

ในแง่ชาวบ้าน วิจารณ์กันสนุก ทำนองว่าไม่ต้องไปสอบสวนก็รู้ว่าต้นตอการอัดเสียงเกิดตรงไหนโดยใคร

“ในแง่แวดวงราชการถือว่าเป็นปัญหาแตกร้าวในองค์กรอย่างร้ายแรง!”

จังหวะก้าวของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กับ พล.ต.อ.วิระชัยในเหตุการณ์นี้

“เมื่อมีคำสั่งเด้งและคำสั่งเตือน ก็ทำให้เข้าใจได้ไม่ยาก เห็นภาพออกทันที ว่าต้องเป็นเรื่องสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องเรื่องเดียวกัน”

ส่วนกรณี พล.ต.อ.ชัยวัฒน์หรือบิ๊กช้างนั้น เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ถึงประเด็นสาเหตุกันไปหลายแนว

เช่น เส้นทางตำรวจสายบู๊ของบิ๊กช้าง หรือเรื่องสุขภาพร่างกาย ความฟิต

“แต่น่าเชื่อว่าจะมาจากปัญหาเดียวกันกับ พล.ต.อ.วิระชัยมากกว่า!”

แม้ว่า พล.ต.อ.ชัยวัฒน์จะป็นเพื่อนสนิทของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ รวมทั้งไม่มีความสัมพันธ์กับ พล.ต.อ.วิระชัยและบิ๊กโจ๊กแต่อย่างใด

แต่คาดว่าความสัมพันธ์ระหว่าง พล.ต.อ.ชัยวัฒน์กับผู้หลักผู้ใหญ่บางคน แล้วมีความเชื่อมโยงผู้ใหญ่ดังกล่าวกับบิ๊กโจ๊ก ทั้งที่การออกมาเคลื่อนไหวของบิ๊กโจ๊กนั้น ผู้ใหญ่รายดังกล่าวอาจไม่ได้รู้เห็น แต่ก็ถูกจับโยงไปด้วย

“นี่เองทำให้บิ๊กช้างต้องโดนเด้งไปด้วย จากจุดเริ่มต้นเดียวกัน”

ที่น่าคิดก็คือ นับจากบิ๊กโจ๊กถูกย้ายฟ้าผ่าพ้นจากการเป็นตำรวจไปเป็นข้าราชการพลเรือนตั้งแต่ต้นปี 2562 จากนั้นก็ต้องเก็บตัวเงียบ ไม่ปรากฏเป็นข่าวใดๆ อีกเลย จนมาเกิดการยิงรถ

“แล้วก็ออกมาเคลื่อนไหวหนักหน่วง เสมือนเป็นสายล่อฟ้า จนนำมาสู่คำสั่งลงโทษระนาว!”

อย่างไรก็ตาม สำหรับบิ๊กช้าง ชัยวัฒน์นั้น ใกล้จะเกษียณอายุราชการอยู่แล้ว จึงไม่เป็นการสะดุดรุนแรงแต่อย่างใด

ที่ได้รับผลหนักก็คือ พล.ต.อ.วิระชัย หลุดพ้นวงจรเข้าประกวดนั่งเก้าอี้ ผบ.ตร.ไปอย่างฉับพลันทันที

ขณะที่บิ๊กโจ๊กออกเดินทางไปบวชที่อินเดียในเวลาต่อมา เหมือนจะเป็นการเลือกหนทางที่ปลอดภัยที่สุดในสถานการณ์นี้

เพราะการโชว์ฝีมือของบิ๊กแป๊ะ ผบ.ตร. ในการนำทีมตำรวจเข้าคลี่คลายคดีโจรปล้นร้านทองฆ่า 3 ศพอันสะเทือนขวัญทั้งสังคมได้สำเร็จอย่างสวยงาม ในเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์ แถมได้คนร้ายที่เป็นถึงระดับผู้อำนวยการโรงเรียน ได้ของกลางครบถ้วนโดยเฉพาะทองที่ปล้นชิงไป

กล่าวได้ว่าผลงานคดีนี้ ทำให้หยุดคลื่นใต้น้ำที่ก่อตัวใต้เก้าอี้ ผบ.ตร.ในขณะนั้นได้อย่างทันที

ตามด้วยคำสั่งเด้งฟ้าผ่า 2 รอง ผบ.ตร. และคำสั่งเตือนบิ๊กโจ๊ก

“เท่ากับหยุดคลื่นใต้น้ำได้อย่างสนิท ทำให้สถานะของ พล.ต.อ.จักรทิพย์แข็งแกร่งมั่นคงอย่างมาก”

กระนั้นก็ตาม ยังมีความพยายามสร้างกระแสข่าวเพื่อกระทบต่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์อยู่ต่อเนื่องต่อไป โดยปล่อยข่าวว่าเตรียมจะไปเป็นรัฐมนตรีในโควต้าพรรคภูมิใจไทย อาจจะเป็นในเร็วๆ นี้ หรืออาจจะหลังครบเกษียณอายุ

ก็คือการชู พล.ต.อ.จักรทิพย์ไปเข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทย เพื่อล่อเป้าให้พรรคการเมืองอื่น และให้ศัตรูของภูมิใจไทยเขม่นบิ๊กแป๊ะอย่างลึกล้ำ

“เมื่อตรวจสอบจากคนเกี่ยวข้อง ก็ได้รับการยืนยันว่า ผบ.ตร.ยังไม่คิดเรื่องไปเป็นรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเร็วๆ นี้ หรือเมื่อเกษียณอายุ!”

ในเฉพาะหน้า ยังมีการนั่งเก้าอี้ ผบ.ตร.ให้ครบวาระ 5 ปีที่ท้าทายอยู่ หากทำได้สำเร็จก็จะเป็นการสร้างสถิติ สร้างประวัติศาสตร์วงการสีกากี ที่สามารถนั่งเก้าอี้ ผบ.ตร.ที่มากด้วยอาถรรพ์จนครบกึ่งทศวรรษสำเร็จ

ความจริง พล.ต.อ.จักรทิพย์เพิ่งได้รับฉายาในช่วงส่งท้ายปี 2562 ที่ผ่านมาว่า กำลังจะสร้างสถิตินั่งครบกึ่งทศวรรษ

“แต่พอเปิดฉากปีใหม่ 2563 ก็โดนเขย่าเก้าอี้อย่างหนัก”

กระนั้นก็ตาม จากคำสั่งฟ้าผ่าชุดใหญ่ เชื่อว่าสถานการณ์ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะกลับคืนสู่ความสงบราบรื่นไปอีกยาวนาน

เป็นสถานการณ์ที่ดียิ่งสำหรับบิ๊กแป๊ะ!