รายงานพิเศษ / Band of Brothers เมื่อ ‘บิ๊กแอ้ด’ นั่งแท่นพี่ใหญ่ 3 ป. ผนึกขั้ว ‘2 มูลนิธิ รัฐบุรุษฯ-ป่ารอยต่อฯ’ ‘บิ๊กแอ้ด-บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม-บิ๊กแดง’ คีย์แมนประเทศ

รายงานพิเศษ

 

Band of Brothers

เมื่อ ‘บิ๊กแอ้ด’ นั่งแท่นพี่ใหญ่ 3 ป.

ผนึกขั้ว ‘2 มูลนิธิ รัฐบุรุษฯ-ป่ารอยต่อฯ’

‘บิ๊กแอ้ด-บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม-บิ๊กแดง’ คีย์แมนประเทศ

สำรวจคลื่นที่ทัพเรือ

‘บิ๊กลือ’ แกร่ง คัด ‘ผู้กล้า’ แห่งราชนาวี

 

พี่น้อง 3 ป. แห่ง คสช. ถือเป็นขั้วอำนาจทางทหารที่แข็งแกร่ง ยาวนานที่สุดในยุคนี้

นับตั้งแต่บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการทหารบก เมื่อปี 2550

หลังร่วมรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ตอนเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 กำลังหลักของบิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.

พล.อ.อนุพงษ์นั่งเป็น ผบ.ทบ. 3 ปี สามารถดันบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากรองแม่ทัพภาคที่ 1 ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 เสนาธิการทหารบก และรองผู้บัญชาการทหารบก จนเป็น ผบ.ทบ. ต่อจากตนเองได้อีก 4 ปี

และในยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ ก็มาเป็น รมว.กลาโหม

จนทำให้ขุมอำนาจของสายบูรพาพยัคฆ์ และทหารเสือราชินีของ พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร หยั่งรากลึกในกองทัพบกตั้งแต่ระดับคุมกำลัง ผบ.พล. ไปจนถึงระดับผู้บังคับกองพัน และผู้บังคับกองร้อย

และมาแข็งแกร่งที่สุดเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์นำรัฐประหารในนาม คสช. และเป็นนายกรัฐมนตรีเองนานถึง 5 ปี

จนมาถึงปัจจุบันเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง โดยมีพี่น้องทั้ง 3 ป. “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” เข้ามาอยู่เป็นเสาหลักของรัฐบาล และถูกมองว่า พล.อ.ประยุทธ์จะอยู่ยาว เป็นนายกรัฐมนตรีถึงอีก 2 สมัย 8 ปี

แม้ความเคลื่อนไหวของฝ่ายต่อต้าน ฝ่ายค้าน ภายใต้การนำของพรรคอนาคตใหม่ และพรรคเพื่อไทยจะเข้มข้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์หวั่นไหวมากนัก เพราะรู้ดีว่า “กองหนุน” ในทุกระดับและทุกมิติยังคงแข็งแกร่ง

ขั้วอำนาจนี้ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอีก เมื่อผนึกกับขั้วอำนาจบ้านสี่เสาเทเวศร์ตั้งแต่ยุค พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นประธานองคมนตรี

แม้แต่เมื่อ พล.อ.เปรมถึงแก่อสัญกรรมไปแล้วก็ไม่มีผลต่อความแข็งแกร่งของขั้วอำนาจพี่น้อง 3 ป.

ยิ่งเมื่อ “บิ๊กแอ้ด” พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นประธานองคมนตรี แทน พล.อ.เปรม ก็ยิ่งเป็นการส่งเสริมขั้วอำนาจ 3 ป. เพราะมีความสัมพันธ์ที่ดีและมีความแนบแน่นใกล้ชิด โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.สุรยุทธ์

สำหรับฝ่ายค้านและฝ่ายต่อต้านแล้ว ยิ่งมองการผนึกกำลังขอ พล.อ.สุรยุทธ์ และ 3 ป. เป็นการต่อจิ๊กซอว์ของเหตุการณ์สำคัญในอดีต โดยเฉพาะเบื้องหลังการรัฐประหารตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 จนถึง 22 พฤษภาคม 2557

เพราะตัวละครที่เป็นนายทหารคีย์แมนหลักเหล่านี้ ล้วนเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม

พล.อ.สุรยุทธ์ถือเป็นทายาทของ พล.อ.เปรม ในฐานะลูกป๋า ลูกเลิฟ และเป็นสัญลักษณ์ของขั้วอำนาจบ้านสี่เสาฯ ที่ยังคงอยู่

เมื่อมาผนึกกับพี่น้อง 3 ป.แล้ว แม้จะไม่สามารถหลอมรวมเป็นขั้วเดียวกันได้ก็ตาม แต่ก็ถือเป็นขั้วอำนาจที่แนบชิด และมีจุดยืนร่วมกัน ศัตรูร่วมกัน และถือเป็นขั้วอำนาจเดียวกัน

แต่ก็ทำให้กลายเป็นขั้วอำนาจของพี่น้องสายเลือดเตรียมทหาร สายเลือด จปร.

จากเดิมที่ พล.อ.เปรมไม่ได้จบเตรียมทหาร เพราะโรงเรียนเตรียมทหารยังไม่ก่อกำเนิด และไม่ได้จบนายร้อย จปร. แต่จบจากนายร้อยเทคนิคทหารบก

แต่ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นเตรียมทหาร 1 และ จปร.12 ส่วน พล.อ.ประวิตร เตรียมทหารรุ่น 6 (จปร.17) พล.อ.อนุพงษ์ เตรียมทหารรุ่น 10 (จปร.21) และ พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมทหารรุ่น 12 (จปร.23)

ดังนั้น ในเวลานี้จึงถือว่า พล.อ.สุรยุทธ์กลายเป็น “พี่ใหญ่” Big Brother ของขั้วอำนาจฝ่ายรัฐบาล

และเป็นพี่ใหญ่ที่ พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่ของ 3 ป. ให้ความเคารพและเกรงใจอย่างมาก

แม้ว่าในอดีต เมื่อครั้งเป็น ผบ.ทบ. พล.อ.สุรยุทธ์จะเคยเด้ง พล.อ.ประวิตรเข้ากรุ ทำให้ชีวิตรับราชการทหารหักเหไปหลายปี จากที่เคยเป็นตัวเต็ง ผบ.ทบ. แต่ในที่สุด พล.อ.ประวิตรก็ได้กลับมาเป็น ผบ.ทบ. ในยุคอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ก็ตาม

แต่ทุกอย่างก็ได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว แม้ว่าจะค้างอยู่ในความทรงจำของ พล.อ.ประวิตรบ้างก็ตาม

แต่ประเทศชาติมาก่อน ต้องผนึกกำลังกันเป็นหนึ่ง เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง และไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามกลับมามีอำนาจอีก

ในสถานการณ์เช่นนี้ จึงทำให้ขั้วอำนาจที่เคยถูกโฟกัสไปที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ เคลื่อนย้ายมาที่มูนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ถนนอู่ทองนอก แทน

เพราะเป็นสถานที่นั่งทำงาน ประชุมและรับแขกของ พล.อ.สุรยุทธ์อย่างไม่เป็นทางการ

มากกว่าที่จะไปใช้ที่ทำเนียบองคมนตรี วังสราญรมย์ ที่จะเป็นสถานที่ประชุมองคมนตรีทุกวันอังคาร และรับแขกที่เป็นทางการเท่านั้น

โดยคาดการณ์ว่าจากนี้ไป ในทุกเทศกาลสำคัญ ก็จะมีประเพณีตบเท้าเข้าอวยพรและขอพร พล.อ.สุรยุทธ์ ทั้งในช่วงวันปีใหม่ สงกรานต์ และวันเกิด 28 สิงหาคม

ขณะที่มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ใน ร.1 รอ. ที่มี พล.อ.ประวิตรเป็นประธาน และนั่งทำงาน และประชุมอย่างไม่เป็นทางการและรับแขกอยู่ทุกวัน ก็ยังคงเป็นมูลนิธิที่มีความแข็งแกร่งและเปี่ยมบารมี และมักเป็นสถานที่ประชุมลับ พบแขกลับ และงาน ว.5

และยังคงมีประเพณีตบเท้าทั้งช่วงวันปีใหม่และวันเกิด 11 สิงหาคมของ พล.อ.ประวิตร

ส่วนช่วงสงกรานต์ปีใหม่ไทยจะไปจัดที่บ้านลาดพร้าว บ้านคุณแม่ของ พล.อ.ประวิตร ที่ก็เป็นอีกประเพณีหนึ่งของบรรดานายทหาร ตำรวจในสายบูรพาพยัคฆ์ ทหารเสือ และ 3 ป.

จึงกลายเป็น 2 มูลนิธิที่มีแต่คนอยากเข้าเป็นสมาชิก เป็นคณะกรรมการและบริจาค เพื่อให้ทั้ง 2 มูลนิธินี้นำไปใช้ประโยชน์ตามเป้าหมายของการจัดตั้งมูลนิธิ

และเป็นมูลนิธิที่ถูกจับตามองในทางการเมืองและการทหาร

 

ขณะที่กองทัพยังมี “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. รุ่นน้อง ตท.20-จปร.31 เป็นกำลังหลักในฐานะเป็นกลุ่มเหล่าทัพที่ใหญ่ที่สุดและแข็งแกร่งที่สุด

อีกทั้งยังคงเป็นผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 (ผบ.ฉก.ทม.รอ.904)

แม้ว่า พล.อ.อภิรัชต์จะเกษียณราชการกันยายน 2563 นี้ แต่ก็ยังเชื่อกันว่าจะมีบทบาทอยู่นอกการเมือง และยังคงมีบารมีในกองทัพต่อไป

และมีการวางตัวนายทหารที่จะเป็นผู้บัญชาการทหารบกเอาไว้แล้ว ทั้งบิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผช.ผบ.ทบ. บิ๊กต่อ พล.ท.เจริญชัย หินเธาว์ แม่ทัพน้อยที่ 1 บิ๊กอ๊อบ พล.ต.ทรงวิทย์ หนุนภักดี รองแม่ทัพภาคที่ 1 และบิ๊กเนี้ยว พล.ต.ทรงพล สาดเสาเงิน ผบ.พล.1 รอ.

และมีการมองๆ นายทหารระดับนายพันและพลตรีหลายคนที่จะขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ.ในอนาคตอีกด้วย

 

ขณะที่กองทัพเรือมีความเข้มข้น เพราะการคัดตัวผู้บัญชาการทหารเรือคนใหม่ที่จะมาแทนบิ๊กลือ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผบ.ทร. ที่จะเกษียณกันยายนนี้

แต่เพราะมีแคนดิเดตหลายคน จึงทำให้บรรยากาศใน ทร.คึกคักเข้มข้น

แต่ในเวลานี้ บรรดาลูกประดู่ให้บิ๊กช่อ พล.ร.อ.ช่อฉัตร กระเทศ รอง ผบ.ทร. เป็นต่อ

เพราะมองกันว่า การที่ พล.ร.อ.ลือชัย ดัน พล.ร.อ.ช่อฉัตร จากที่ปรึกษาพิเศษ ทร. มาเป็นรอง ผบ.ทร. ครองอัตราจอมพลและจ่อคิวนั้น ย่อมเป็นการส่งสัญญาณแล้วว่าจะให้เป็น ผบ.ทร.

เพราะไม่เช่นนั้นแล้วก็ควรจะต้องส่งออกนอกกองทัพเรือ ไปเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม หรือรอง ผบ.ทหารสูงสุด

แต่ทั้งนี้ อาจเพราะ พล.ร.อ.ช่อฉัตรมีอาวุโสสูงสุด จึงต้องมานั่งรอง ผบ.ทร. ที่ก็ดูเหมือนการจ่อคิว

เพราะหากจะยึดอาวุโส และดูที่อัตราจอมพลแล้ว บิ๊กแมว พล.ร.อ.สมชาย ณ บางช้าง ก็ขึ้นแท่นอาวุโส เพราะนั่งประธานที่ปรึกษา ทร. อัตราจอมพลเรือ

พล.ร.อ.สมชาย เตรียมทหาร 20 ก็ถือเป็นแคนดิเดต ผบ.ทร. อีกคนที่ถูกจับตามองว่าจะล้างอาถรรพ์ตระกูล ณ บางช้าง ได้ขึ้นเป็น ผบ.ทร.ได้สักคนหรือไม่ หลังจากที่บิ๊กต้อม พล.ร.อ.อมรเทพ ณ บางช้าง เคยเป็นแคนดิเดต ผบ.ทร.ที่เฉียดเกือบได้เป็น ผบ.ทร. แต่ก็พลาดหวัง

แต่ที่ทำให้ พล.ร.อ.ช่อฉัตรถูกวางตัวเป็นเต็งหนึ่งตอนนี้ เพราะภาพที่ ผบ.หน่วยรบของ ทร.เห็นเหมือนกันหมด ในงาน “รวมพลคนกล้า แห่งราชนาวี” องก์ที่ 2 ที่สัตหีบ

พล.ร.อ.ลือชัยเดินจับมือ 2 นายทหารเรือ ข้างหนึ่งเป็นบิ๊กชุม พล.ร.อ.ชุมศักดิ์ นาควิจิตร ผบ.กองเรือยุทธการ ในฐานะเจ้าภาพสถานที่จัดงาน

ส่วนมืออีกข้างหนึ่ง พล.ร.อ.ลือชัยจับมือ พล.ร.อ.ช่อฉัตร ที่ยิ่งทำให้บิ๊กช่อถูกจับตามองว่าเป็นเต็งหนึ่ง ผบ.ทร.

ในกองทัพเรือ โจษขานกันว่า ย้อนมองเส้นทางรับราชการของ พล.ร.อ.ช่อฉัตร เตรียมทหาร 19 ไม่ธรรมดา และทำให้มีสายสัมพันธ์พิเศษ

ตอนที่เป็นทั้งผู้ช่วยทูตทหารเรือประจำกรุงลอนดอน และรักษาราชการผู้ช่วยทูตทหารเรือประจำกรุงลอนดอน อังกฤษ รักษาราชการผู้ช่วยทูตทหารเรือประจำกรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก และรักษาราชการผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารเรือประจำกรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ รักษาราชการผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารเรือประจำกรุงสตอกโฮล์ม สวีเดน

ก่อนที่จะกลับมาเป็นรองเจ้ากรมข่าวทหารเรือ ผู้บัญชาการกองเรือยกพลขึ้นบกและยุทธบริการ ผบ.ร.ร.เสนาธิการทหารเรือ และ ผบ.วิทยาลัยการทัพเรือ – เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ที่ปรึกษาพิเศษ ทร. และรอง ผบ.ทร.

แต่ในขณะที่ พล.ร.อ.ช่อฉัตรกลายเป็นเต็งหนึ่ง ผบ.ทร.คนใหม่นี้ ก็ต้องฟาดเคราะห์ เพราะอุบัติเหตุล้มในขณะวิ่งออกกำลังกายกับ พล.ร.อ.ลือชัย จนทำให้เอ็นข้อเท้าฉีก ต้องเข้าโรงพยาบาล และต้องรักษาตัวนาน 3 เดือน

 

แต่อย่างไรก็ตาม คู่แข่งที่สูสีที่สุดกับ พล.ร.อ.ช่อฉัตร ก็คือบิ๊กอุ้ย พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผช.ผบ.ทร. รุ่นน้อง ตท.20

ด้วยเพราะได้รับมอบหมายงานสำคัญจาก พล.ร.อ.ลือชัย โดยเฉพาะโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำจีน ลำที่ 2 และ 3 ในงบประมาณปี 2563 ที่ผ่านฉลุย

ทั้ง พล.ร.อ.ช่อฉัตร และ พล.ร.อ.ชาติชาย มีอายุราชการถึงกันยายน 2564 เท่ากัน

ความจริงแล้ว แคนดิเดต ผบ.ทร.ในปีนี้มีหลายคน และเป็นเพื่อนเตรียมทหาร 20 ด้วยกัน ทั้ง พล.ร.อ.สมชาย ณ บางช้าง ประธานที่ปรึกษา ทร. บิ๊กแก๋ง พล.ร.อ.สิทธิพร มาศเกษม เสนาธิการทหารเรือ

รวมทั้งนายทหารเรือนอกกองทัพเรืออย่างบิ๊กเฒ่า พล.ร.อ.สมประสงค์ นิลสมัย รองปลัดกระทรวงกลาโหม ที่มีอายุราชการนานถึง 2565

แต่ พล.ร.อ.ลือชัยระบุว่า ทุกคนมีสิทธิ์ เพราะตนเองยังไม่ได้ตัดสินใจ ขอรอดูการทำงานของทุกคน ให้ทำงานแข่งกัน คาดว่าหลังการแต่งตั้งโยกย้ายเมษายนแล้วจะเริ่มชัดเจน

“ดูที่การทำงานเป็นหลักสำคัญ ว่างานที่ได้รับมอบหมาย ทำสำเร็จหรือไม่” ผบ.ทร.กล่าว

พล.ร.อ.ลือชัยเปรียบเทียบการเลือก ผบ.ทร.คนใหม่ ต้องเป็นทั้งคนดีและคนกล้า

“ในกองทัพเรือมีคนดีอยู่มากมาย แต่หาผู้กล้าได้ไม่กี่คน”

คนกล้าคือ ต้องกล้าที่จะเสียสละ ซื่อสัตย์ อดทน กล้าที่จะเผชิญกับความถูกต้อง นี่คือผู้กล้าที่แท้จริง หากไม่สามารถเสียสละ อดทน ก็ไม่ใช่ผู้กล้า

ผู้กล้าต้องมิได้หวังประโยชน์ส่วนตัวเป็นเครื่องตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น เสียสละได้แม้กระทั่งชีวิตเลือดเนื้อ ไม่ห่วงลูก-เมีย

“ลองถามใจตัวเองดูว่า เป็นผู้กล้าระดับไหน ที่ปกครองคนในกองทัพเรือ ตั้งแต่พลเอก จนกระทั่งถึงจ่าคนสุดท้าย รวมทหาร 5 หมื่นคน สิ่งที่ต้องเกิดประโยชน์แก่แผ่นดินทั้งสิ้น สิ่งนี้คือต้องกล้า กล้าที่จะไปตายพร้อมกับเพื่อนฝูงมิตรสหายร่วมรบหรือไม่ และกล้าที่จะตายเพื่อแผ่นดินโดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทนหรือเปล่า”

พล.ร.อ.ลือชัย กล่าวกับ ผบ.หน่วย

 

เมื่อมีแคนดิเดตหลายคน ที่ต้องทำงานสร้างผลงานแข่งกัน แต่หากกลายเป็นการแข่งขันหรือให้ร้ายป้ายสีกันและทำให้กองทัพเรือเสียหายนั้น พล.ร.อ.ลือชัยเตือนไว้ก่อนเลยว่า จะไม่พิจารณาคนนั้นเลยทีเดียว

แต่กว่าจะถึงโยกย้ายใหญ่ปลายปี พล.ร.อ.ลือชัยก็ดักคอไว้ก่อนเลยว่า ช่วงมีนาคม-เมษายนนี้ก็อาจเกิดการปล่อยข่าวโจมตีตนเอง ให้ร้ายกองทัพเรืออีก เพราะเป็นช่วงการแต่งตั้งโยกย้าย

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาแม้จะโดนโจมตีอย่างหนัก พล.ร.อ.ลือชัยไม่ได้ถือโทษโกรธอะไร เพราะคิดเสมอว่า เราเหมือนต้นไม้ใหญ่ ก็ต้องมีนกกามาเกาะ แล้วก็ต้องมาขี้รดบ้าง แต่เมื่อฝนตกมันก็ชะล้างขี้นกไปเอง ไม่ต้องไปโกรธ ไม่ต้องไปลงโทษ เพราะบาปกรรมจะลงโทษคนนั้นเอง

การเป็นผู้บัญชาการทหารเรือในช่วงปีเศษที่ผ่านมา ทำให้ พล.ร.อ.ลือชัยได้ข้อคิดมากมาย

แต่ที่ปลาบปลื้มที่สุด คือการได้ทำหน้าที่ผู้บัญชาการกระบวนเรือในพิธีเสด็จเลียบพระนคร โดยขบวนหยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อ 12 ธันวาคม 2562

แม้จะเป็นวิกฤต แต่ก็กลายเป็นโอกาสสำคัญในชีวิต ที่ทำให้ได้ทำหน้าที่สำคัญครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของผู้บัญชาการทหารเรือ

“พระราชพิธีครั้งนี้ ยังทำให้กองทัพเรือกลับกลายมาเป็นปึกแผ่น สามัคคีกันอีกครั้งหนึ่งด้วย”

กล่าวได้ว่า การเป็นผู้บัญชาการทหารเรือ ในชีวิตนี้ถือว่าเป็นเกียรติยศสำคัญในชีวิต

ส่วนใครจะเป็น ผบ.ทร. เป็นคนดี และคนกล้า คนต่อไป อีกไม่นานก็จะรู้

“เหตุการณ์บ้านเมืองเป็นสิ่งที่พวกเราต้องดูแล ควบคู่กับอาชีพของเราตราบจนกว่าชีวิตจะหาไม่ บ้านเมืองของเราไม่พ้นวังวนแห่งการแย่งชิงอำนาจ บ้านเมืองอ่อนแอ เหมือนบ้านที่เพียงแค่ลมพัดผ่าน ลมกระโชกแรงก็อาจพังได้ บางคนลืมชาติลืมแผ่นดิน ลืมรากเหง้า ผู้ปกป้องชาติแผ่นดินมายาวนานตั้งแต่บรรพบุรุษของเรา ประเทศชาติจะคงอยู่ได้ ก็ต้องมีคนดี จึงจะรักษาบ้านเมืองเอาไว้ได้”

“แต่ปัจจุบันดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องกล้าด้วย จึงจะรักษาชาติบ้านเมืองเอาไว้ได้” บิ๊กลือทิ้งท้าย