รายงานพิเศษ / 3 ป. กับ ป.แป๊ะ ‘บิ๊กป้อม-บิ๊กตู่’ กับ จ.โจ๊ก ศึกสีกากีสะเทือนรัฐบาล ศึกเตรียมทหาร ยาม ‘กองทัพ’ ผลัดใบ ‘บิ๊กแดง’ ส่งไม้ต่อ ตท.20-21-22 คุมเหล่าทัพ วางหมาก ‘แม่ทัพภาคที่ 1’

รายงานพิเศษ

 

3 ป. กับ ป.แป๊ะ

‘บิ๊กป้อม-บิ๊กตู่’ กับ จ.โจ๊ก

ศึกสีกากีสะเทือนรัฐบาล

ศึกเตรียมทหาร ยาม ‘กองทัพ’ ผลัดใบ

‘บิ๊กแดง’ ส่งไม้ต่อ ตท.20-21-22 คุมเหล่าทัพ

วางหมาก ‘แม่ทัพภาคที่ 1’

 

แม้ 3 ป.พี่น้องจะเหนียวแน่น และหนักแน่นดั่งขุนเขา แต่มีความพยายามจะตอกลิ่ม

โดยเฉพาะเมื่อเกิดปัญหาระหว่างบิ๊กโจ๊ก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กับบิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.

ที่ล้วนเป็นทั้งลูกเลิฟและน้องรัก ระดับหัวแถวของบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่

ย่อมทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมพี่ใหญ่เคลียร์เรื่องนี้ไม่ได้ ทั้งๆ ที่ทั้ง 2 คนให้ความเคารพ พล.อ.ประวิตรอย่างมาก

แล้วเมื่อเกิดเรื่องถึงขั้นเปิดหน้าชกกันขนาดนี้แล้ว พล.อ.ประวิตรจะฟังใคร เพราะบิ๊กโจ๊กก็ลูกเลิฟ

ส่วนบิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ก็น้องรัก ที่ พล.อ.ประวิตรหนุนเนื่องให้ขึ้นเป็น ผบ.ตร. ทั้งๆ ที่มีอายุราชการเหลือถึง 5 ปี

แถมพี่ป้อมยังดูแล เสริมเก้าอี้ ผบ.ตร.ให้แข็งแรงมาตลอด แม้จะถูกเลื่อยขาเก้าอี้มาตลอด 4 ปีกว่าที่ผ่านมา

แต่ก็ยังครองเก้าอี้พิทักษ์ 1 นั่งเป็น ผบ.ตร.จนเหลืออายุราชการอีก 8 เดือนเศษเท่านั้น

ด้วยเพราะเป็นน้องรัก พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประวิตรก็เป็นรองนายกฯ ที่คุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติในยุครัฐบาล คสช.มาตลอด จึงยังคงช่วยดูแลได้

แม้ในบางครั้ง บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ในเวลานั้น ก็เล็งๆ มาตลอด จนมีข่าวจะเด้ง ผบ.ตร.มาหลายครั้ง แต่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ก็รอดพ้นมาได้

จนมาคราวนี้ เมื่อ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์เปิดหน้า ดับเครื่องชน พล.ต.อ.จักรทิพย์ หลังถูกยิงรถที่บางรัก จนเป็นเหตุให้บิ๊กโจ๊กพุ่งเป้าไปที่คดีคัดค้านการจัดซื้อเครื่องสแกนใบหน้า Biometrics และ พล.ต.อ.จักรทิพย์

ลามไปจนถึงการปล่อยคลิปเสียงสนทนาของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กับ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. ที่ยิ่งสะท้อนความขัดแย้งของบิ๊กโจ๊กกับบิ๊กแป๊ะอย่างหนัก

ท่าทีบทบาทของ พล.อ.ประวิตร จึงถูกจับตามองว่าจะเป็นกาวใจ จะเคลียร์ จะปราม หรือไม่

เพราะ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์เดินสายออกสื่อเกือบทุกสำนัก ที่ยิ่งกระพือความขัดแย้ง

 

เบื้องแรก พล.อ.ประวิตรก็บอกว่า ถ้าเจอแล้วจะพูด เพราะตอนนั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ยังไม่เดินทางกลับจากอิสราเอล

แต่หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์บอกว่า ให้เขาไปคุยกันเองแล้วนั้น

พล.อ.ประวิตรก็เปลี่ยนท่าที ให้ทั้ง 2 คนไปคุยกันเอง “เพราะเป็นพี่น้องกัน”

ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ซึ่งคุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเป็นประธาน ก.ตร. จะส่งสัญญาณเตือนผ่านสื่อไปถึงคู่ขัดแย้ง ให้รักษาภาพลักษณ์และชื่อเสียงขององค์กรตำรวจด้วย พร้อมสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน

ที่ พล.อ.ประยุทธ์ดูจะคาใจเรื่องคลิปเสียงสนทนานั้นหลุดออกมาได้อย่างไร

โดยมีรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้สอบถามบิ๊กปู พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ที่ปรึกษานายกฯ อดีตรอง ผบ.ตร. เพื่อให้วิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่เหตุยิงรถ และคลิปเสียง

ที่โทนเสียงของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ ดูจะเป็นบวกกับ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์

เพราะอย่าลืมว่า พล.ต.อ.ศรีวราห์ถูก พล.ต.อ.จักรทิพย์พาดพิงในคลิปเสียงนั่นด้วย

และเคยเป็นเต็งหนึ่งที่จะเสียบเป็น ผบ.ตร.แทน พล.ต.อ.จักรทิพย์ หากพลาดท่าเสียที

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ มีความพยายามในการเสี้ยม

โดยแพร่สะพัดข่าวว่า พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ แยกวง เห็นไม่ตรงกัน

ทั้งนี้ ในระยะหลัง พล.อ.ประยุทธ์ซึ่งคุมตำรวจ จะได้พบปะพูดคุยกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ มากกว่ากับ พล.อ.ประวิตร

แต่ปัญหานี้ทำให้ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตรหนักใจ เพราะทั้ง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ก็ล้วนเป็นคนสำคัญของพี่น้อง 3 ป. และเป็นกำลังหลักที่ช่วยรัฐบาลมาตลอดตั้งแต่ยุค คสช.

จึงต้องรีบเคลียร์ปัญหาก่อนที่จะลุกลาม กลายเป็นศึกสีกากี และสะเทือนความเป็นพี่น้อง 3 ป.

ในขณะที่เกิดศึกสายเลือดสีกากี ศึกนายร้อยตำรวจ และศึกเตรียมทหาร สายตำรวจ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องกวดขันดูแลแล้วนั้น

ปัญหาในกองทัพ ในหมู่พี่น้องเตรียมทหาร และนายร้อย จปร. ก็รออยู่เบื้องหน้า

เมื่อเข้าสู่ฤดูการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับนายพลกลางปี หรือที่เรียกว่าโผเมษาฯ แล้ว

แต่เพราะโผนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก แต่บรรยากาศก็เริ่มคึกคัก เพราะมีการมองข้ามช็อตไปถึงโยกย้ายใหญ่ปลายปีกันแล้ว

เพราะจะเป็นการโยกย้ายครั้งใหญ่ที่ ผบ.เหล่าทัพเกษียณราชการพร้อมกันหมด ทั้ง ผบ.ทหารสูงสุด, ผบ.ทบ., ผบ.ทร., ผบ.ทอ. และรวมถึง ผบ.ตร.

มีเพียงบิ๊กณัฐ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกลาโหม ที่ยังคงอยู่ และมีอายุราชการถึงกันยายน 2564

มีการวางตัวบิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผช.ผบ.ทบ. ให้เป็น ผบ.ทบ.คนใหม่ แทนบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ที่จะเกษียณ ที่คาดว่าคงไม่มีพลิกโผ

แต่ที่ บก.ทัพไทย แม้จะมีการวางตัวบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ เสนาธิการทหาร ไว้เป็น ผบ.ทหารสูงสุดคนใหม่

ด้วยการเคลียร์ทางและผลักดันของ พล.อ.อภิรัชต์ ที่ส่ง พล.อ.เฉลิมพลมาจาก ทบ.

แต่ที่ บก.ทัพไทยนั้นมีนายทหารหลายคนที่อยู่ในตำแหน่ง ที่สามารถขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุดได้

มีการจับตาไปที่บิ๊กชู พล.อ.ชูชาติ บัวขาว รอง ผบ.ทหารสูงสุด ที่เป็นรุ่นพี่เตรียมทหาร 20 ขณะที่ พล.อ.เฉลิมพล เป็น ตท.21

ทั้งนี้ บรรดาผองเพื่อน ตท.20 ต่างก็สนับสนุนให้ พล.อ.ชูชาติได้เป็น ผบ.ทหารสูงสุด เพราะจากบิ๊กกบ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ที่เป็น ตท.18 ควรจะมาเป็น ตท.20

ที่สำคัญ พล.อ.ชูชาติเคยเป็นผู้ที่ถูกเลือกแล้วจาก ทบ. และ ตท.20 เพราะถูกส่งจากรอง เสธ.ทบ. ข้ามห้วยมา บก.ทัพไทย เป็นรองเสนาธิการทหาร

โดยในเวลานั้น มีรายงานว่า เป็นความเห็นพ้องต้องกันของแกนนำ ตท.20 ทั้ง พล.อ.อภิรัชต์ และบิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รอง ผบ.ทบ. ที่สนับสนุนให้ พล.อ.ชูชาติไปเติบโตที่ บก.ทัพไทย เพื่อจ่อคิวเป็น ผบ.ทหารสูงสุดคนต่อไป

แต่ต่อมา พล.อ.อภิรัชต์ได้หันมาสนับสนุน พล.อ.เฉลิมพล ตท.21 เป็น ผบ.ทหารสูงสุด หลังจากที่เชื่อกันว่ามีสัญญาณพิเศษ เช่นเดียวกับการวางตัว พล.อ.ณรงค์พันธ์เป็น ผบ.ทบ.

คงไม่มีใครต้านทานกระแสของ พล.อ.อภิรัชต์ได้ เพราะแม้แต่ พล.อ.พรพิพัฒน์ก็ไฟเขียวตามที่ พล.อ.อภิรัชต์เสนอมา

แม้จะมีกระแสข่าวว่า พล.อ.พรพิพัฒน์เตรียมเล็งนายทหารคนใน เพื่อให้เติบโตเป็นผู้นำทัพไทยคนต่อๆ ไป

ทั้งบิ๊กจ่อย พล.ท.ธิติชัย เทียนทอง เจ้ากรมยุทธการทหาร และ พล.ท.นที วงศ์อิสเรส เจ้ากรมข่าวทหาร

แต่ก็มีการมองข้ามช็อตกันไปว่า พล.อ.อภิรัชต์ก็เตรียมที่จะส่งนายทหารจาก ทบ. ข้ามฟากมาเตรียมจ่อคิวที่ บก.ทัพไทย เพื่อเตรียมขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุดคนต่อๆ ไปไว้ในอนาคตอีก หลังจาก พล.อ.เฉลิมพลเกษียณในกันยายน 2566

ที่จะทำให้นายทหารคนใน บก.ทัพไทยหมดหวังกันเป็นทิวแถว และนั่งรอ ผบ.ทหารสูงสุด ที่จะมาจาก ทบ.กันต่อไป

ไม่แค่ในส่วน บก.ทัพไทย ที่ พล.อ.อภิรัชต์ต้องมาช่วยคัดสรรวางตัวนายทหารที่เหมาะสม โดยเฉพาะเป็นนายทหารคอแดง ที่ทำหน้าที่ในหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 (ฉก.ทม.รอ.904) ไปดูแล บก.กองทัพไทยเท่านั้น

แต่ในส่วน ทบ. ก็ยังมีความไม่ลงตัว โดยเฉพาะแม่ทัพภาคที่ 1 และ ผบ.ทบ.ในอนาคต

แม้จะค่อนข้างแน่นอนว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์ นายทหารสายคอแดง จะขึ้นเป็น ผบ.ทบ.คนต่อไปแน่นอนก็ตาม

แต่ต้องเตรียมการวางตัวนายทหารที่จะมารับหน้าที่ต่อ โดยเฉพาะแม่ทัพภาคที่ 1 ที่คุมกำลังรบสำคัญที่สุดของ ทบ.ด้วย

 

เพราะจากบิ๊กหนุ่ย พล.ท.ธรรมนูญ วิถี แม่ทัพภาคที่ 1 ก็คาดกันว่า บิ๊กต่อ พล.ท.เจริญชัย หินเธาว์ แม่ทัพน้อยที่  1 จะขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 คนต่อไป

และจะมีนัยสำคัญ เพราะหาก พล.ท.เจริญชัย ขึ้นแม่ทัพภาคที่ 1 ก็แสดงว่าจะเข้าไลน์เตรียมเป็น ผบ.ทบ.คนต่อจาก พล.อ.ณรงค์พันธ์ เพราะมีอายุราชการถึงกันยายน 2567

พล.ท.เจริญชัยได้ชื่อว่าเป็นน้องรักสายทหารเสือราชินีของ พล.อ.ประยุทธ์ และเป็น 1 ในน้องรักสายทหารเสือราชินีฯ ที่ถูกวางตัวให้เป็นผู้นำกองทัพ

อีกทั้งทำหน้าที่ รอง ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ในทีมนายทหารคอแดง ร่วมกับ พล.อ.อภิรัชต์ ที่เป็น ผบ.ฉก.ทม.904 อีกด้วย

แต่ทว่าความแรงและครบเครื่องของบิ๊กอ๊อบ พล.ต.ทรงวิทย์ หนุนภักดี รองแม่ทัพภาคที่ 1 นั้นยังไม่เสื่อมคลาย

เพราะก็ถูกจับตามองว่า แม่ทัพภาคที่ 1 สามารถขึ้นจากรองแม่ทัพภาคที่ 1 ได้เลย ไม่จำเป็นต้องให้แม่ทัพน้อยที่ 1 ที่เป็นพลโท ขึ้นเลยเสมอไป

จึงทำให้เกิดข่าวลือในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ว่า ทบ.จะส่ง พล.ต.ทรงวิทย์มาติดยศพลโท เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการเป็นแคนดิเดต ผบ ทบ.

เพราะหาก พล.ท.เจริญชัยขึ้นแม่ทัพภาคที่ 1 ในโยกย้ายปลายปีนี้ ก็จะได้เปรียบ พล.ต.ทรงวิทย์

แต่หาก พล.ท.เจริญชัยเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ก่อน ก็จะขึ้นเป็น 5 เสือ ทบ. ในโยกย้ายปีถัดไปได้เลย

ส่วน พล.ต.ทรงวิทย์นั้น ตามไลน์เดิมก็จะขึ้นพลโท เป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 เพื่อจ่อคิว แต่ทว่ายังไม่สามารถขึ้น 5 เสือ ทบ.ได้

แต่หากลงไปเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ก็จะสามารถขึ้น 5 เสือ ทบ. ในปีถัดไป พร้อม พล.ท.เจริญชัยรุ่นพี่ ตท.23 เลย

แต่หากดูที่ปีเกษียณ พล.ต.ทรงวิทย์สามารถต่อคิวที่จะเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และ ผบ.ทบ. ต่อจาก พล.ท.เจริญชัยได้เลย เพราะเกษียณ 2568

แต่ไม่มีใครหยั่งรู้ใจ พล.อ.อภิรัชต์ และ พล.อ.ประยุทธ์ได้ และอาจมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง

 

ที่สำคัญ พล.อ.อภิรัชต์เพิ่งลงนามความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาภาคใต้กับ ผบ.ทบ.อินโดนีเซีย ที่อาเจะห์ โดยจากนี้ไป คนที่เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 จะทำงานประสานกับผู้บัญชาการภูมิภาคทหารอาเจะห์ของอินโดนีเซีย ซึ่งการใช้ภาษาอังกฤษเป็นเรื่องสำคัญ

พล.ต.ทรงวิทย์เคยทำงานในชายแดนภาคใต้มาหลายปี และได้ชื่อว่าเป็นนายทหารในกองทัพภาคที่ 1 ที่มีความรู้ความเข้าใจต่อสถานการณ์ชายแดนอีกคนหนึ่ง

อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็เคยมีธรรมเนียมในการส่งนายทหารจากกองทัพภาคที่ 1 ลงมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 มาแล้ว เช่น บิ๊กอู๊ด พล.อ.วลิต โรจนภักดี รอง เสธ.ทบ. ที่ลงมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 เพราะไม่ได้เป็นแม่ทัพภาคที่ 1

แต่ทว่าก็อยู่ได้แค่ 6 เดือนเท่านั้น

แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ พล.อ.อภิรัชต์จะส่ง พล.ต.ทรงวิทย์ลงไปเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 เพราะในเวลานี้มีแคนดิเดตที่เป็นนายทหารรุ่นพี่ ทั้งเตรียมทหาร 22 จ่อคิวอยู่หลายคน

โดยเฉพาะในระดับรองแม่ทัพภาคที่ 4 บิ๊กป๊อด พล.ต.สิทธิพร มุสิกะสิน และ KK พล.ต.เกรียงไกร ศรีรักษ์ น้องรักของแม่ทัพเดฟ พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 คนปัจจุบัน รวมทั้งบิ๊กเหนียว พล.ต.กฤษดา พงษ์สามารถ

ย่อมต้องเกิดแรงต้านนายทหารคนนอก กองทัพภาคที่ 4 อีกทั้งไม่อาจใช้เหตุผลพิเศษอื่นใดได้

ดังนั้น โอกาสที่ พล.ท.เจริญชัยขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ก่อน แล้ว พล.ต.ทรงวิทย์ขึ้นแม่ทัพน้อยที่ 1 แล้วค่อยขยับขึ้นแม่ทัพภาคที่ 1 ก็จะสอดรับกันพอดี แต่ทว่าก็จะเป็นได้คนละ 1 ปีเท่านั้น

ยกเว้นเสียแต่ว่า ชะตาฟ้ากำหนดไว้แล้วว่า พล.ท.เจริญชัย หรือ พล.ต.ทรงวิทย์ ที่จะเป็น ผบ.ทบ. หาใช่ได้เป็นทั้งคู่ไม่ ซึ่งอีกไม่นานทุกอย่างจะชัดเจน

 

บรรยากาศกองทัพที่คุกรุ่น ยังแผ่ไปทุกเหล่าทัพ เพราะต้องมีการเปลี่ยนผู้นำ

โดยเฉพาะที่กองทัพเรือ ที่ไม่ใช่แค่บิ๊กลือ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผบ.ทร. ที่เป็นเป้าโจมตีจากคลื่นใต้น้ำใน ทร. ผสมกับการอกหัก ผิดหวังจากตำแหน่ง

แต่การเลือก ผบ.ทร.คนใหม่ ก็จะทำให้คลื่นยิ่งแรงกว่าเดิม เพราะครั้งนี้การแข่งขันสูงมาก เพราะมีแคนดิเดตหลายคน

แต่ใน ทร. ยกให้บิ๊กช่อ พล.ร.อ.ช่อฉัตร กระเทศ รอง ผบ.ทร. (ตท.19). มาแรงสุด ด้วยเพราะอาวุโส ครองอัตราจอมพลเรือก่อนแล้ว

แต่ไม่อาจมองข้ามบิ๊กอุ้ย พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผช.ผบ.ทร. (ตท.20) และบิ๊กแก๋ง พล.ร.อ.สิทธิพร มาศเกษม เสธ.ทร. (ตท.20)

ที่กองเชียร์ของแต่ละทีมก็ล้วนมั่นใจในผลงาน และจะเอาชนะใจ พล.ร.อ.ลือชัยได้

พล.อ.อ.มานัต วงษ์วาทย์

ส่วนกองทัพอากาศ บิ๊กนัต พล.อ.อ.มานัต วงษ์วาทย์ ผบ.ทอ. จะเกษียณ และคาดกันว่าเพื่อน ตท.20 อย่างบิ๊กจ้อ พล.อ.อ.ธรินทร์ ปุณศรี ผช.ผบ.ทอ. เป็นเต็งหนึ่ง

และ เสธ.ต่วย พล.อ.อ.สุทธิพันธ์ ต่ายทอง เสธ.ทอ. (ตท.21) และบิ๊กป้อง พล.อ.อ.นภาเดช ธูปะเตมีย์ ผบ.คปอ. (ตท.21)

พล.อ.อ.สฤษฎ์พงศ์ วัฒนวรางกูร
พล.อ.อ.ธรินทร์ ปุณศรี

งานนี้หาก พล.อ.อ.ธรินทร์เป็น ผบ.ทอ. 1 ปี เกษียณกันยายน 2564 ก็ทำให้แคนดิเดตที่เหลือ มีโอกาสลุ้นเป็นต่อ

แต่หาก พล.อ.อ.สุทธิพันธ์ที่มีอายุราชการ 2 ปี ขึ้นเป็น ผบ.ทอ.เลย ก็จะปิดโอกาสเพื่อน ตท.21 ทั้ง พล.อ.อ.นภาเดช หรือแม้แต่บิ๊กตั๊ว พล.อ.อ.สฤษฎ์พงศ์ วัฒนวรางกูร ที่ปรึกษาพิเศษ ทอ.

เมื่อนั้นก็ต้องเตรียมมองนายทหารอากาศที่ถูกจับตามองว่าจะเป็น ผบ.ทอ.ในอนาคตได้เลย

บิ๊กป้อม พล.อ.ท.ธนะศักดิ์ เมตะนันท์ รอง เสธ.ทอ. (ตท.22) ที่มีอายุราชการถึง 2567 และเติบโตมาในสายยุทธการเลยทีเดียว

พล.อ.อ.นภาเดช ธูปะเตมีย์

ทุกเหล่าทัพรอการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เชื่อกันว่า พล.อ.อภิรัชต์ แกนนำ ตท.20 จะมีบทบาทร่วมด้วยเช่นกัน

ก่อนที่เกษียณไปช่วยดูแลกองทัพอยู่วงนอก ท่ามกลางการถูกจับตามองว่า จะกลับมาเป็นนายกฯ ในสักวัน