#อิ หยัง วะ / ฉบับประจำวันที่ 17-23 มกราคม 2563

อิ หยัง วะ
หรืออะไรกันวะ
คำฮิตของเหล่าทวิตเตอร์
คงเป็นสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยากตะโกนออกมาเช่นกัน
หลังกิจกรรมวิ่งไล่ลุง เมื่อวันที่ 12 มกราคมผ่านไป
แม้ว่ากิจกรรมดังกล่าวจะมีฝ่ายที่สนับสนุนลุงตู่ ออกมาทำกิจกรรมเดินเชียร์ลุง คู่ขนานกันไป
เพื่อสะท้อนว่า ในสังคมไทยไม่ได้มีแต่คนไล่ลุง หากแต่มีคนเชียร์ลุงด้วย
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ย่อมทราบดีว่า กิจกรรมวิ่งไล่ลุง ที่แม้จะถูกขัดขวางในทุกรูปแบบ ทั้งโดยเปิดเผยและไม่เปิดเผย
แต่การที่ยังมีคนนับหมื่น ที่บางส่วนต้องควักเงินจ่าย 600 บาทมาร่วมงานจำนวนมาก
อย่างที่ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) สรุปภาพของานว่า คนที่มางานวิ่งไล่ลุงมีทุกช่วงวัย ทั้งรุ่นป้า ลุง คนทำงาน ยันเด็กมัธยมต้น คล้ายตอนแฟลชม็อบที่สกายวอล์ก คิดว่ากลุ่มวัยรุ่นมี 60% ที่เหลือเป็นคนที่มีอายุอาจ 30-40% ซึ่งไม่ได้ต่างกันเยอะ
เรียกว่าเป็นภาพของสังคมที่มีคนทุกวัยมาร่วม
อันสะท้อนว่า การชุมนุมวิ่งไล่ลุง จุดติด
ซึ่งนี่ย่อมนำมาสู่คำถามในใจอันอื้ออึงของ พล.อ.ประยุทธ์
อิ หยัง วะ–อุตส่าห์ทำดี ทำมาก ยังมาถูกไล่อีก

จึงไม่แปลก หลังวันที่มีกิจกรรมวิ่งไล่ลุง พล.อ.ประยุทธ์จะหลุดความรู้สึก ผ่านคำพูดที่พูดในงานต่างๆ
“ผมไม่ได้เป็นศัตรูกับใครเลย ใครจะเชียร์ จะไล่ จะอะไร ผมไม่ใช่ศัตรูพวกท่าน”
“แต่ทุกคนจะทำอย่างไรให้เกิดความร่วมมือ ขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ดีกว่ามาเสียเวลากับเรื่องเหล่านี้”
“ถึงเวลาที่ต้องรวมพลังกันได้แล้ว อะไรที่ขัดข้องหมองใจต้องคุยกัน ทุกอย่างต้องแก้ปัญหาแบบนี้ ในต่างประเทศเขาก็แก้ปัญหากันแบบนี้ รบราฆ่าฟันกันยิ่งกว่านี้ ต้องการจะกลับไปแบบนั้นกันอีกหรือ อย่าเลย เอาความตั้งใจมาร่วมมือกันคิดกันทำจะดีกว่า”
“นายกฯ เป็นคนแบบนี้ ยิ่งไม่ชอบ ก็ต้องยิ่งรักท่านให้มากขึ้น เอาความดีทำต่อให้เขารัก และทุกคนก็ต้องทำแบบนี้”

สะท้อนให้เห็นว่าผู้พูด คือ พล.อ.ประยุทธ์ มากด้วยความข้องใจ ว่าทำอะไรก็มาก แต่ไฉนการตอบสนองจึงไม่มี
แต่ก็พยายามโชว์ว่า ไม่ถอดใจ
คือถึงจะไม่รัก แต่ก็ต้องทำให้เขารักให้ได้
แต่การเรียกร้องดังกล่าว จะได้ผลหรือไม่
คงต้องพิจารณาจากคำพูดของคนกันเอง
อย่างนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์
ที่ชี้ว่า
“วันนี้จุดศูนย์กลางความขัดแย้งได้เปลี่ยนมาเป็น พล.อ.ประยุทธ์แต่เพียงผู้เดียว ปัญหาทั้งหมดอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์จะถอดสลักแก้ปัญหาขัดแย้งของคนในชาติได้อย่างไร เป็นเรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์และบริวารต้องไปขบคิด และหาแนวทางแก้ไข หรือถอนตัวออกจากคู่ขัดแย้งให้เร็วที่สุด เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายไปสู่สภาวะปกติตามที่ทุกฝ่ายในสังคมปรารถนา”
สอดคล้องกับฟากตรงข้ามรัฐบาล พากันขยี้ซ้ำ
อย่างนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช.ชี้ว่า รัฐบาล คสช.ไม่ได้แก้ปัญหาและยังทำให้สถานการณ์แย่ลง ด้วยการสืบทอดอำนาจ ซึ่งสุ่มเสี่ยงจะเกิดความขัดแย้งใหญ่อีกในอนาคต
ขณะที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทยชี้ว่า การที่คนไทย 40 จังหวัดทั่วประเทศลุกขึ้นมาทำกิจกรรมวิ่งไล่ลุงเป็นสัญญาณบอกว่าเวลาของรัฐบาลเหลือน้อย การวิ่งไล่ลุงเป็นดัชนีชี้วัดว่าความนิยม และความชื่นชอบรัฐบาลลดน้อยลง
พร้อมเรียกร้องอย่าผลักคนเห็นต่างเป็นศัตรู เช่น กิจกรรมวิ่งที่ จ.เชียงใหม่ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ต้องห้ามเข้าไปแทรกแซง ข่มขู่ กดดัน คุกคาม และให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเท่าเทียมทั้ง 2 ฝั่ง
แต่จะได้ผลหรือไม่ ยังเป็นคำถาม
ด้วยตอนนี้หลายจังหวัดที่จัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุง แกนนำที่จัดงาน ถูกตำรวจเอาผิด ฐานชุมนุมโดยไม่ได้รับอนุญาต
และคงจะเห็นการเข้มงวดเช่นนี้อีกหลายรูปแบบ
เพื่อสกัดกระแสวิ่งไล่ลุง มิให้พัฒนาจะจุดติดไปสู่การลุกโพลง
เพราะนั่นย่อมไม่เป็นผลดีกับลุง
ด้วยอาจจะบานปลายไปสู่การขับไล่ตรงๆ อย่างที่เกิดขึ้นกับผู้นำและรัฐบาลหลายชุด และเป็นวิกฤตมาแล้ว
แต่คำถามก็คือ จะสะกัดได้หรือไม่
นี่ย่อมเรียกร้องให้เข้าใจปัญหาอันแท้จริง ว่าทำไมความไม่พอใจจึงดำรงอยู่
มิใช่ รู้สึก เพียง อิ หยัง วะ ทำงานหนัก ทำงานมาก ยังมาไล่กันอีก เท่านั้น
————————–