วิเคราะห์ : วิ่งเชียร์ลุง / วิ่งไล่ลุง | “ก้าวคนละก้าว”

ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งไล่ลุง หรือเดินเชียร์ลุงก็ตาม

ถือเป็นกิจกรรม “ก้าวคนละก้าว” เหมือนกัน

แต่ที่แตกต่างกันก็คือ ไม่ได้ก้าวไปในทิศทางเดียวกัน

เป็นการก้าวแบบก้าวใครก้าวมัน ไปคนละทิศทาง

สะท้อนภาวะการแตกขั้วในทางการเมืองอย่างชัดเจน

แม้ว่าผู้จัดแต่ละฝ่ายจะยืนยันว่าไม่ได้มีพรรคการเมืองเกี่ยวข้อง เพียงแต่เข้ามาร่วมกิจกรรมเหมือนประชาชนทั่วไปเท่านั้น

แต่กระนั้น คงปฏิเสธได้ยากว่านี่มิใช่การเคลื่อนไหวทางการเมือง

กิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” ซึ่งถือว่าเป็นฝ่ายจุดพลุก้าวคนละก้าวขึ้น จะทำกิจกรรมที่สวนวชิรเบญจทัศ หรือสวนรถไฟ เขตจตุจักร

โดยมีนิสิต น-กศึกษาและนักกิจกรรมการเมืองในนาม “คณะกรรมการแนวร่วมสมาพันธ์ผู้จัดงานวิ่งไล่ลุงเพื่อประโยชน์ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนประเทศไทย” เป็นผู้จัดงาน

มีนายธนวัฒน์ วงค์ไชย หรือบอล นิสิตคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นแกนคณะผู้จัดงาน

ความเคลื่อนไหวสำคัญล่าสุดคือ เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2563

แกนนำจัดกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” นำโดยนายธนวัฒน์ วงค์ไชย และ น.ส.สิรินทร์ มุ่งเจริญ เดินทางมายื่นหนังสือเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะรัฐมนตรี ร่วมวิ่งในกิจกรรมวิ่งไล่ลุงที่สวนรถไฟในวันที่ 12 มกราคมนี้ โดยมีนายสมพาศ นิลพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือ

โดยแกนนำได้แจ้งว่า กิจกรรมดังกล่าวจะจัดขึ้นตั้งแต่เวลา 05.00-09.00 น. ขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนประมาณ 1 หมื่นคน และคาดว่าในวันจริงจะมีผู้มาร่วมงานประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์

“ที่เรามายื่นหนังสือเชิญ ก็เพื่อให้ไปรับฟังเสียงของประชาชนที่เดือดร้อนจากการบริหารงานของรัฐบาลชุดปัจจุบันและรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นคนหน้าเดิมทั้งนั้น” นายธนวัฒน์กล่าว และว่า จะเชิญ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.ไปร่วมด้วย

ส่วนพรรคการเมืองต่างๆ รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียง จะส่งข้อความเชิญชวนผ่านโซเชียลมีเดีย

ทั้งนี้ นักการเมืองและผู้มีชื่อเสียงที่จะมาร่วมกิจกรรม ก็เช่น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่, น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่, นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต., น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมการเมือง, นายจอห์น-วิญญู วงศ์สุรวัฒน์ พิธีกร เป็นต้น

นายธนวัฒน์บอกว่า แม้ทีมงานวิ่งไล่ลุงจะจัดงานที่สวนรถไฟที่เดียวเท่านั้น แต่ก็มีผู้นำกิจกรรมนี้ไปจัดต่อ ซึ่งคงไปห้ามไม่ได้ แต่ขอร้องให้เตรียมงานดีๆ เพราะหลายฝ่ายจ้องฉกฉวยสถานการณ์อยู่ ขอให้ประสานเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยผู้เข้าร่วมงาน

ทั้งนี้ ได้รับแจ้งว่าจะมีกิจกรรมวิ่งในต่างจังหวัดและต่างแดนหลายจุด

ได้แก่ 1.จ.อุบลราชธานี 2.จ.ชลบุรี 3.จ.นครราชสีมา 4.จ.นครปฐม 5.จ.อุดรธานี 6.จ.กาฬสินธุ์ 7.จ.ปัตตานี 8.จ.เชียงราย 9.จ.นครศรีธรรมราช 10.จ.นครสวรรค์ 11.จ.ร้อยเอ็ด 12.จ.นนทบุรี 13.จ.พะเยา 14.จ.นครนายก 15.จ.พังงา 16.จ.บุรีรัมย์ 17.จ.ขอนแก่น 18.จ.มหาสารคาม

ขณะที่ในต่างประเทศ ได้แก่ 1.ประเทศนิวซีแลนด์ 2 จุด 2.ประเทศอังกฤษ กรุงลอนดอน 2 จุด 3.ประเทศเยอรมนี 1 จุด 4.ประเทศฟินแลนด์ 1 จุด

อย่างไรก็ตาม หลังปรากฏเป็นข่าวว่าจะมีการจัดกิจกรรมในต่างจังหวัดดังกล่าว

มีการเคลื่อนไหวของตำรวจและฝ่ายปกครอง ให้กลุ่มที่จัดกิจกรรมยุติการดำเนินการ ด้วยการไม่อนุญาตให้มีการจัดงาน

แม้ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จะยืนยันว่าไม่มีการห้าม เพียงแต่อย่าให้ผิดกฎหมาย

แต่กระนั้น ดูเหมือนหลายจังหวัดจะถูกห้าม และมีมวลชนส่วนหนึ่งออกมาต่อต้าน

จึงยังไม่มีการยืนยันว่าในส่วนต่างจังหวัดจะสามารถจัดได้กี่แห่ง

แม้ว่านายนธนวัฒน์จะย้ำว่า

“ไม่ต้องกังวล กิจกรรมนี้ไม่ไปก่อผลกระทบใดๆ ให้ประเทศ งานวิ่งงานอื่นจัดแบบไหนเราจัดแบบนั้น ไม่มีการชุมนุมต่อหรือเปิดปราศรัยทางการเมือง จริงอยู่แม้เป็นกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นสัญลักษณ์แนวใหม่ ไม่ใช่แบบการชุมนุมในอดีต อย่าเอาภาพเดิมๆ มายัดเยียดเรา”

แต่กระนั้น ดูเหมือน “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไม่เห็นสอดคล้องนัก

โดยออกมาเรียกร้องว่า

“ผมอยากให้ทุกคนใช้กลไกประชาธิปไตยของวันนี้สร้างประเทศกันก่อนได้หรือไม่”

“ดีกว่าที่จะทำลายซึ่งกันและกัน ถ้าผิดถูกตรงไหนก็ไปเข้ากระบวนการยุติธรรม”

“แต่ถ้าพูดกัน ไล่กันไปกันมาแบบนี้ ผมไม่เห็นประโยชน์จะเกิดขึ้น”

“ไม่ว่าสนับสนุนผมหรือสนับสนุนใครก็ตาม หรือต่อต้านผม มันเกิดประโยชน์กับใครบ้าง”

“มันก็มีคนจำนวนหนึ่งที่ออกมาทำเรื่องแบบนี้ พัน สองพัน หมื่นนึง แต่คนที่เสียประโยชน์คือคน 60 ล้าน”

“ผมอยากจะบอกว่าพอเถอะ มาช่วยกันทำประเทศดีกว่า ช่วยกันฟังว่ารัฐบาลจะทำอะไร จะได้ประโยชน์อะไร”

“ถ้าไม่พอใจอะไรก็บอกมา รัฐบาลก็แก้ไข แก้ปัญหา ต้องแบบนี้ อย่าใช้ทุกเวทีดิสเครดิตกันไปมา ไม่เกิดประโยชน์อะไร”

ท่าทีที่ไม่เห็นด้วยกับกิจกรรมวิ่งไล่ลุงของ พล.อ.ประยุทธ์นี้เอง

ที่ทำให้ก่อนหน้านี้ เกิดเพจ “เชียร์ลุง” ซึ่งอ้างตนว่า “พลังเงียบ ในนามภาคประชาชน ‘คนรักลุง’ ที่รักชาติ รักสถาบัน” ออกมาเคลื่อนไหว จัดกิจกรรม “ให้กำลังใจลุงตู่” และ “ต่อต้านพวกชังชาติ”

ด้วยกิจกรรม “เดินเชียร์ลุง” ในวันที่ 12 มกราคม วันเดียวกับที่มีกิจกรรมวิ่งไล่ลุง

โดยจัดที่สวนลุมพินี

ปรากฏว่ามีผู้เข้าร่วมกิจกรรมมากกว่า 3,000 คน และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

โดยคนดังที่จะเข้าร่วม อาทิ พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.พระมุงกฎวัฒนะ, ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล หรือผู้กองปูเค็ม, อุ๊-หฤทัย ม่วงบุญศรี นักร้อง, เบญญา นันทขว้าง อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมพลังประชาชาติไทย เป็นต้น

ทั้งนี้ เว็บเพจ “เดินเชียร์ลุง” ได้มีการเผยแพร่ข้อความเชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมเดินเชียร์ลุง เช่น “พร้อมกันมั้ย รองเท้าผ้าใบกับใจถึงๆ พลังเงียบออกมาเดินกันเยอะๆ เจอกันครับทุกคน เช้าวันอาทิตย์ที่ 12 มกรา #เดินเชียร์ลุงมาสวนลุมฯ”

ทั้งนี้ กิจกรรมเดินเชียร์ลุง แกนนำที่จัดซึ่งไม่ได้เปิดเผยตน ไม่คิดค่าใช้จ่าย ต่างจากกิจกรรมวิ่งไล่ลุง ที่จะต้องเสียค่าลงทะเบียนคนละ 600 บาท

โดยผู้มาร่วมเดินเชียร์ลุงจะได้รับแจกเสื้อยืดที่ผลิตมาประมาณ 2,000 ตัวฟรี

น่าสังเกตว่า เป้าหมายของกิจกรรม “เดินเชียร์ลุง” นอกจากจะให้กำลังใจ พล.อ.ประยุทธ์แล้ว

ยังพุ่งเป้าไปที่ “การต่อต้านพวกชังชาติ” ด้วย

ซึ่งเมื่อกล่าวถึงเป้าหมายนี้แล้ว ตอนนี้กลุ่มบุคคลที่เคลื่อนไหวเรื่องนี้อย่างจริงจัง

คงไม่พ้นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ผนึกรวมกับ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารพรรค รปช.

ออกเดินสายตามจังหวัดต่างๆ อย่างคึกคัก

ประกบไปกับการเดินสายของพรรคอนาคตใหม่และกลุ่มจัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุงอย่างน่าสังเกต

แม้จะไม่มีการยอมรับว่า นี่คือการคัดค้านแนวทางพรรคอนาคตใหม่ และกลุ่มวิ่งไล่ลุง

แต่ดูเหมือนทุกคนจะเข้าใจไปในทิศทางนี้

ทั้งนี้ เมื่อช่วงปลายปี 2562 ที่ผ่านมา นายสุเทพไปบรรยายที่อาคารศูนย์ปฏิบัติการโรงแรมและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ในการอบรมหลักสูตร “อุดมการณ์และการสื่อสารทางการเมือง” ในหัวข้อ “หัวใจสำคัญของพรรครวมพลังประชาชาติไทย”

ตอนหนึ่งระบุว่า ผมไม่เคยคิดจะกลับมาทำงานการเมืองเลย เพราะตอนเดินขบวนบอกพี่น้องประชาชนแล้วว่าจะไม่สมัครผู้แทนฯ จะไม่กลับไปมีตำแหน่งทางการเมืองแล้ว พอแล้ว

แต่ต่อมาเห็นว่า ที่เราลงทุนลงแรงต่อสู้มา เราไม่สามารถวางใจหรือปล่อยมือได้

บ้านเมืองยังไม่เรียบร้อยปลอดภัย

วายร้ายตัวเก่าจบไปแล้ว มีวายร้ายตัวใหม่มาอีก

ผมไม่ได้บอกว่าเป็นใคร แต่มันน่ากลัวมาก กำแหงมาก

มันแสดงท่าทีชัดเจนว่า ไม่เอาอะไรสักอย่าง ไม่เอาขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมอะไรทั้งนั้น

และมีคนบ้าตามมันเยอะอีกต่างหาก น่ากลัวมาก

ผมเลยต้องตัดสินใจชวนประชาชนมาทำพรรคของประชาชน มีอุดมการณ์ คือ ต้องการให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่คู่ประเทศไทย เป็นศูนย์รวมใจของประชาชน

เราต้องแสดงออกซึ่งความรักชาติ ไม่ใช่ชังชาติ

สอดคล้องกับ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม โพสต์เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom เมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา

อ้างถึงแผนร้ายของลัทธิชังชาติ ซึ่งมีอยู่ 5 ข้อ

สร้างชุดข้อมูลให้หลงเชื่อ สร้างความแตกแยกและความเกลียดชังในสังคม สร้างกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ พุ่งเป้าไปที่เด็ก เยาวชนตามสถานศึกษา ประชาชนกลุ่มเฉพาะ เพราะง่ายแก่การยุแหย่ (กำลังทำอยู่)
เมื่อถึงวันตัดสินคดีความยุบพรรค จะประกาศไม่รับคำพิพากษาของศาล และอ้างว่าถูกกลั่นแกล้ง ศาลมีธง ศาลถูกชี้นำ
อ้างความจำเป็นต้องนำม็อบลงถนน ว่าจะใช้วิธีแบบอหิงสา เพื่อมาต่อสู้กับความอยุติธรรม การถูกรังแก โดยพุ่งเป้าไปที่เด็ก เยาวชน
หลังจากนั้นม็อบจะสร้างความรุนแรง ทำลายร้านค้า ให้คนหากินไม่ได้ ทำลายเศรษฐกิจ (ฮ่องกงโมเดล) หรือมีการจัดตั้งให้เกิดการทำร้ายกันเอง โดยอ้างว่าถูกใช้ความรุนแรงโดยรัฐ และในที่สุดพาลูกหลานเราไปบาดเจ็บล้มตาย
จะมีการเรียกร้องให้ต่างชาติมาแทรกแซง โดยอ้างเรื่องประชาธิปไตย และนำไปสู่การล้มล้างสถาบัน เปลี่ยนแปลงประเทศตามที่ลัทธิชังชาติต้องการ

แม้จะไม่ได้ระบุว่าเป็นใครหรือพรรคไหน แต่ก็คงคาดเดาได้ไม่ยาก ว่าหมายถึงใคร

เช่นกัน ก็อาจคาดเดาได้ต่อไปว่า กิจกรรม “เดินเชียร์ลุง” จะเชื่อมโยงเครือข่ายใดบ้าง

และมีเป้าหมายสกัดกั้นใคร

อันสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างกันอย่างสุดขั้วของฝ่ายที่จัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุง และเดินเชียร์ลุง

ซึ่งต้องรอดูว่า แต่ละฝ่ายจะดึงเสียงสนับสนุนได้มากน้อยเพียงใด

ปริมาณของ “มวลชน” น่าจะเป็นมาตรวัดอารมณ์ของสังคมได้ระดับหนึ่ง

ส่วนจะขยายวง และนำไปสู่อะไร อย่างไร คงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด

พร้อมกับความคาดหวัง ก้าวแต่ละก้าว จะมีทิศทางไปตามแนวทางที่พวกตนเชื่อ และขยายตัวออกไปตามระบบเสียงส่วนใหญ่ของประชาธิปไตย

มิใช่การก้าวเข้ามา “ปะทะ” กันของคนไทยอีกครั้ง