ในประเทศ / ‘หนูไฟ’ เปิดศักราช ‘HOT’ 12 มกราฯ วิ่ง ไล่ ลุง 21 มกราฯ ยุบ-ไม่ยุบ อนาคตใหม่ สถานการณ์การเมืองระอุ

ในประเทศ

 

‘หนูไฟ’ เปิดศักราช ‘HOT’

12 มกราฯ วิ่ง ไล่ ลุง

21 มกราฯ ยุบ-ไม่ยุบ อนาคตใหม่

สถานการณ์การเมืองระอุ

 

เปิดศักราช 2563 มา “หนู” ก็ทำงานแบบไม่ให้พักให้ผ่อนกันเลยทีเดียว

โดยเฉพาะกับพรรคอนาคตใหม่

ซึ่งก็อย่างที่ทราบกันดี

เมื่อวันคริสต์มาส 25 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญออกเอกสารข่าว กรณีคดีเงินกู้ 191 ล้านบาท

ระบุว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องที่ กกต.ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3) ประกอบมาตรา 72 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง กรณีพรรคอนาคตใหม่ผู้ถูกร้องกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 72 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรครับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

เมื่อ กกต.มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคอนาคตใหม่ได้กระทำการอันเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค โดยแจ้งให้ กกต.ทราบและส่งสำเนาคำร้องให้กับอนาคตใหม่ชี้แจงข้อกล่าวหาภายใน 15 วันนับแต่วันได้รับสำเนาคำร้อง

ซึ่งนั่นคงทำให้กรรมการบริหารพรรคและทีมกฎหมายของพรรค คงต้องระดมสรรพกำลังเพื่อทำคำชี้แจงให้สมบูรณ์และครบถ้วนที่สุด เพื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ

ที่จะไปคาดหวังว่า จะไปขอเลื่อนการชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ อาจจะสุ่มเสี่ยง

เพราะมีบทเรียนแล้ว โดยเฉพาะต่อ กกต. ที่ยื่นขอเลื่อนเวลายื่นเอกสารแล้ว แต่กลับไม่เป็นผล

แถมถูกมองว่าประวิงเวลา พร้อมเจอข้อสรุปว่า ไม่ประสงค์จะชี้แจง ทำให้เสียกระบวนการต่อสู้ไปมากทีเดียว

กรณีศาลรัฐธรรมนูญเช่นกัน คงต้องเร่งทำคำชี้แจงให้สมบูรณ์ที่สุด ต้องเผื่อในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ขยายวันให้

และยิ่งเกิดนัดวันฟังคำวินิจฉัยเลย ด้วยเห็นว่า “หลักฐานเพียงพอแล้ว”

นั่นย่อมจะทำให้พรรคอนาคตใหม่หมดโอกาสต่อสู้ลง อย่างน้อยหากสร้างโอกาสให้ตนเองด้วยการให้ศาลรัฐธรรมนูญเปิดการไต่สวน ก็น่าจะมีผลดีกว่าการรีบตัดสินในทันที

จึงเป็นงานหนักของพรรคอนาคตใหม่ ที่จะต้องเร่งยื้อชีวิตตัวเองออกไป

 

ซึ่งนอกจากต้องต่อสู้ในคดีเงินกู้ 191 ล้านบาทข้างต้นแล้ว

พรรคอนาคตใหม่ยังต้องแบ่งสรรพกำลังไปรับมือเรื่องสำคัญอีกเรื่อง

เพราะในวันที่ 25 ธันวาคม นอกจากศาลรัฐธรรมนูญจะรับวินิจฉัยเรื่องเงินกู้แล้ว

ศาลรัฐธรรมนูญยังแจ้งอีกว่า กรณีได้รับพิจารณาคำร้องที่นายณฐพร โตประยูร (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องเพื่อขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่า การกระทำของพรรคอนาคตใหม่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล และคณะกรรมการบริหารพรรค ผู้ถูกร้องที่ 1-4 ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ หรือที่เรียกว่าคดีอิลลูมินาติ

โดยศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องไต่สวน

ทั้งนี้ ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญได้อภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยและนัดอ่านคำวินิจฉัยได้เลย

ซึ่งในกรณีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 21 มกราคม 2563 เวลา 11.30 น.

คาดหมายได้ยาก ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ออกมาอย่างไร

ฝ่ายหนึ่งมองว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดตัดสินเร็ว เรื่องอาจไม่มีมูลเพียงพอ จึงอาจมีโอกาสหลุด

แต่อีกฝ่ายก็แย้งว่า หลักฐานในคดีนี้อาจชัดเจนจนไม่ต้องนัดไต่สวน สามารถตัดสินได้เลย

และผลที่ออกมา ไม่น่าจะเป็นผลดีต่อพรรคอนาคตใหม่

ซึ่งในประเด็นหลังนี้เอง ทำให้พรรคอนาคตใหม่ต้องเตรียมรับมือเช่นกัน

เพราะเกิดมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรค การจะประคับประคองให้ ส.ส.ไปอยู่รังใหม่ และจัดองคาพยพใหม่เป็นสิ่งสำคัญ

เพื่อไม่ให้เกิดงูเห่า หรือมีการแตกออกไปอยู่ที่อื่น โดยเฉพาะในปีกรัฐบาล

ในกรณีนี้ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ยอมรับว่า เรื่องการยุบพรรคไม่อยู่ในวิสัยที่จะตอบได้ เป็นอำนาจวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

“วันนี้สิ่งที่เราทำได้คือทำความเข้าใจกับสมาชิกพรรคให้ร่วมไปสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคใหม่ที่เตรียมการไว้ เราต้องทำทุกอย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดย ส.ส.ไปอยู่พรรคใหม่ และสมาชิกไปสมัครสมาชิกพรรคใหม่ ทำให้เหมือนว่าพรรคอนาคตใหม่ยังคงอยู่”

“จะทำให้ผู้มีอำนาจได้เห็นว่าการยุบพรรคไม่มีความหมาย เพราะอนาคตใหม่ไม่ใช่แค่พรรคที่มีผลทางกฎหมาย แต่เราคือคนทุกคนที่รวมตัวกันด้วยอุดมการณ์” น.ส.พรรณิการ์กล่าว

ถือเป็นการปลุกปลอบใจได้ในระดับหนึ่ง

แต่ก็คงต้องเตรียมการรับมือ หากสถานกรณ์ออกมาในทางร้ายสุด คือถูกยุบพรรค

เพราะถึงตอนนั้น กระแสปั่นป่วนย่อมมีอยู่สูง จนไม่อาจรับมือได้

การเตรียมการรับมือจึงสำคัญ รวมถึงแนวทางที่จะเดินต่อไปด้วย

 

คํากล่าวของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ร้านอาหารริมน้ำริเวอร์ไซด์ อ.เมือง จ.นครนายก ในโอกาสครบรอบ 1 ปีพรรคอนาคตใหม่นครนายก เมื่อตอนท้ายปี 2562

ได้สะท้อนแนวทางที่จะเดินต่อไประดับหนึ่ง

โดยนายธนาธรบอกว่า ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ยังกลัวการสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่กล้าลุกขึ้นทวงสิทธิเสรีภาพของตนเอง และนั่นคือความสำเร็จของพวกเขาที่ทำให้คนกลัวได้

แต่หากทุกคนลุกขึ้นส่งเสียง เอาประชาธิปไตยกลับคืนสู่สังคม นำนิติรัฐ นิติธรรม คืนสู่สังคม พวกเขาจะไม่มีวันสืบทอดอำนาจได้เลย

และในปี 2563 เราต้องลุกขึ้นสู้อย่างจริงจัง

ทุกคนเชื่อหรือไม่ว่าทุกวันนี้ความขัดแย้งในสังคมหมดไปแล้ว หรือกำลังถูกกดขี่เอาไว้

“…มีคนพูดกับผมเยอะมากว่าเมื่อไรจะเอาคนลงถนนแล้วพวกเขาจะยอมสนับสนุนเต็มที่

แต่อยากบอกว่า การนำคนลงถนนมันไม่คุ้มค่า

ไม่คุ้มที่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ

เราต้องส่งเสียงและชุมนุมอย่างสันติ เดินคู่กับการทำงานในสภาอย่างเต็มที่”

“ทำงานการเมืองอย่างตรงไปตรงมาและสร้างสรรค์ หากประเทศไทยต้องเปลี่ยนแปลง ทุกคนต้องสู้เพื่ออนาคตของตัวเราเองและลูกหลาน และหลายคนคงเห็นว่าพรรคอนาคตใหม่ถูกเล่นงานมากขนาดไหน ดังนั้น จึงต้องอาศัยพลังของทุกคนลุกขึ้นสู้”

“ยุบพรรคยุบได้ แต่ยุบอุดมการณ์ หรือความตั้งใจแน่วแน่ไม่ได้ ยุบก็สร้างใหม่ ยุบก็สู้ต่อ หากโดนยุบเรายังมี ส.ส.ในสภา ยุบพรรคไม่ได้หมายความว่า ส.ส.ของเราหายไป”

 

นั่นคือสิ่งที่นายธนาธรบอกเป็นแนวทางไว้

ซึ่งก็น่าจะหมายถึง การเดิน 2 ขา

นั่นคือ หากยุบพรรค ก็จะรวมตัวในพรรคการเมืองใหม่ ต่อสู้ในสภาต่อไป

ขณะที่มีส่วนหนึ่งอาจต้องหลุดออกจากระบบ เพราะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ก็จะออกมาเคลื่อนไหวนอกสภา

ในแนวทางที่นายธนาธรย้ำว่า ต้องเป็นการ “ส่งเสียงและชุมนุมอย่างสันติ”

ทั้งนี้ ก็เพื่อตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามพรรคอนาคตใหม่ ที่พยายามชูป้ายว่า พรรคอนาคตใหม่จะเดินตามแนวทางนอกสภา ในแบบรุนแรง อย่างการชุมนุมประท้วงในฮ่องกง

รวมทั้งจะเลือกแนวทาง “ชังชาติ” ที่หักล้างระบบการเมืองแบบเดิม

การสร้างภาพให้น่ากลัวเช่นนี้ ไม่เป็นผลดีต่อการขับเคลื่อนของพรรคอนาคตใหม่อย่างแน่นอน

ดังนั้น คงต้องยึดแนวทางการต่อสู้อย่าง “สันติ” ให้แจ่มชัด เพื่อลดเงื่อนไขที่ฝ่ายตรงข้ามของพรรคปลุกขึ้นมา

 

การประกาศตัวเข้าร่วมกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” ในวันที่ 12 มกราคม ของนายธนาธร

อาจเป็นตัวอย่างหนึ่งของการทำกิจกรรมการเมืองแบบสันติ นั่นคือใช้การ “วิ่ง” เป็นสัญญะไปสู่เป้าหมายทางการเมือง นั่นคือ ไล่ “ลุง”

ซึ่งกิจกรรมนี้ นายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ได้ยืนยันว่า ไม่ใช่กิจกรรมที่พรรคดำเนินการ

เป็นแต่เพียงการเข้าไปร่วม เพราะมีผู้เชิญเท่านั้น

“กิจกรรมนี้เป็นการเชิญของจอห์น วิญญู และแท็กผม เชิญไปวิ่งไล่ลุงลักษณะจดหมายลูกโซ่ ผมจึงแท็กคนอื่นต่อและรับคำเชิญไปร่วม ผมและ อนค.ไม่ได้เป็นผู้จัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุงและไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ได้รับเชิญ” นายธนาธรระบุ

แม้กระนั้น ดูเหมือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ดูจะไม่เห็นด้วยกับกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” นัก

ส่งผลให้เกิดการกดดันคณะผู้จัดอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร

ไม่ยอมให้มีการแถลงข่าว และพยายามทุกวิถีทางเพื่อสกัดและขัดขวางมิให้มีกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง”

แต่ในท่ามกลางการสกัดขัดขวาง

กลับมีผู้ลงทะเบียนแล้วกว่า 8,000 คน เกินกว่าเป้าหมายที่จะรองรับเกือบครึ่ง ถึงขนาดต้องยุติการรับสมัคร และวางแผนจะเปิดรอบ 2 อีกไม่นาน

นายธนวัฒน์ วงค์ไชย คณะทำงานจัดงานกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” บอกว่านี่เป็นการตอบสนอง ข้อเรียกร้องของพวกตนคือ

  1. รัฐบาลต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยเร็วตามที่หาเสียงไว้
  2. ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้
  3. ต้องหยุดใช้อำนาจเพื่อพวกพ้อง ต้องกระทำทันที

พร้อมยืนยันว่า การจัดกิจกรรมดังกล่าวไม่มีการเมืองหนุนหลัง แต่ก็ยังพบการพยายามขัดขวางและเกรงว่าจะมีการใช้กลไกของรัฐแทรกแซงงาน แต่ก็พยายามจะทำงาน วิ่งไล่ลุง ดำเนินไปให้ได้

 

ซึ่งแน่นอน ทันทีที่ชัดเจนว่าการตัดสินยุบพรรคอนาคตใหม่ในกรณีอิลลูมินาติ จะมีการอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 21 มกราคม 2563

ขณะที่กรณีกู้เงิน 191.2 ล้านบาท ผ่านการรับฟ้องและคาดหมายว่าคงจะเดินหน้า ตัดสินภายในระยะเวลาไม่นานนัก

ย่อมทำให้ประเด็นในการวิ่งไล่ลุง ในวันที่ 12 มกราคม “ร้อน” ขึ้นโดยอัตโนมัติ

เพราะด้วยไปเข้าเงื่อนไข ข้อเรียกร้องที่ 3 ต้องหยุดใช้อำนาจเพื่อพวกพ้องพอดี

ทั้งนี้ ก็เพราะคนในพรรคอนาคตใหม่ และฝ่ายสนับสนุน เชื่อกันว่ามี “ใบสั่ง” ที่จับต้องไม่ได้ มีอิทธิพลอย่างสูง ที่จะทำให้อนาคตของพรรคอนาคตใหม่ดับลง

ดับลงภายใต้แนวคิด ตัดไฟเสียแต่ต้นลม

ไม่ปล่อยให้พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งมีแนวคิด “อันตราย” ตามความเชื่อของบางฝ่าย เดินหน้าต่อไป

การสู้และสกัดดังกล่าว

            ส่งผลให้การเมืองไทยระอุ ตั้งแต่เปิดศักราชปี พ.ศ.2563 เลยทีเดียว!!