ต่างประเทศ : “ของขวัญวันคริสต์มาส” คำ “ข่มขวัญ” ของเกาหลีเหนือ

สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีเหนือ วนกลับไปสู่ความตึงเครียดอีกครั้ง เวลานี้ไม่มีใครสามารถคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ได้

คิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ และโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ผู้นำสองชาติปฏิปักษ์พบปะหารือกันมาแล้วถึง 3 ครั้งไม่ว่าจะเป็นที่ “สิงคโปร์” “เขตปลอดทหารบริเวณชายแดนเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้” รวมไปถึงที่ “กรุงฮานอย” ประเทศเวียดนาม เมื่อไม่นานมานี้

ทั้งหมดนั้นมีขึ้นเพื่อหารือในข้อตกลงที่จะให้เกาหลีเหนือหันหลังให้กับอาวุธนิวเคลียร์ที่ถือครองอยู่ แลกกับการผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐ และฟื้นคืนความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติให้กลับคืนมา

ทั้งสองฝ่ายจะยังไม่พบข้อตกลงที่เป็นที่พอใจ จนกระทั่งเกาหลีเหนือประกาศจะมอบ “ของขวัญวันคริสต์มาส” ให้กับสหรัฐอเมริกา

“ของขวัญ” ซึ่งดูเหมือนจะเป็นคำขู่มากกว่าสิ่งที่จะให้เพื่อผูกมิตรตามความหมายตรงตัว

 

คําขู่ดังกล่าวสะท้อนความไม่พอใจของเกาหลีเหนือ ที่รู้สึกว่าข้อตกลงของตัวแทนเจรจาสหรัฐไร้ซึ่งความยืดหยุ่นและขาดความคิดสร้างสรรค์ นำไปสู่การกำหนดเส้นตายให้สหรัฐใน “สิ้นปีนี้”

ยังคงเป็นคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ว่า “ของขวัญ” ที่ว่าจะเป็นอะไร ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกต่างคาดเดากันไปต่างๆ นานา แต่ที่แน่นอนก็คือสิ่งนี้จะต้องถูกสร้างขึ้นเพื่อดึงความสนใจของทรัมป์อย่างแน่นอน

หนึ่งในสิ่งที่ถูกคาดเดาว่าอาจมีขึ้นเพื่อเป็นของขวัญ ข่มขวัญสหรัฐอเมริกาและประชาคมโลกก็คือ “การยิงจรวดส่งดาวเทียม” ขึ้นสู่อวกาศ ซึ่งดูจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้สูง

สื่อเกาหลีเหนือรายงานเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เกาหลีเหนือประสบความสำเร็จใน “การทดสอบที่สำคัญอีกครั้ง” การทดสอบซึ่งมีขึ้นที่ฐานยิงจรวดโซแฮ ฐานปฏิบัติการที่เกาหลีเหนือประกาศจะรื้อทิ้งในการเจรจาข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกา

การประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเมื่อสัปดาห์ก่อนเกาหลีเหนือประกาศถึงความสำเร็จในการ “ทดสอบครั้งสำคัญ” ซึ่งเกิดขึ้นในฐานปฏิบัติการเดียวกันนี้

ก่อนหน้านี้เกาหลีเหนือยืนยันมาโดยตลอดว่าโครงการอวกาศนั้นมีเหตุผลเพียงเพื่อวิทยาศาสตร์

ขณะที่ผู้นำคิมประกาศจะนำพาประเทศให้เป็นชาติสังคมนิยมที่ทรงพลังและรุ่งเรืองด้วยเศรษฐกิจของตัวเอง บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

แน่นอนว่าหลักฐานสำคัญที่ทำให้ข้อสันนิษฐานข้อนี้เป็นจริงก็คือ คิม จอง อึน สามารถส่งดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศได้แล้วถึง 2 ดวงนับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่ง

เทคโนโลยีดังกล่าวเป็นเทคโนโลยีเดียวกันกับที่ใช้สร้าง “ขีปนาวุธข้ามทวีปติดหัวรบนิวเคลียร์” ขณะที่เคซีเอ็นเอ สื่อของเกาหลีเหนือก็รายงานว่า การทดสอบครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือจะ “ยกระดับความสามารถในการป้องปรามนิวเคลียร์” ของประเทศได้

นั่นก็ทำให้มองได้อีกทางเช่นกันว่า “ของขวัญ” ที่ว่าจะเป็นการทดสอบไอซีบีเอ็ม หรือขีปนาวุธข้ามทวีปก็เป็นได้

 

อีแวนส์ รีเวอร์ อดีตผู้เชี่ยวชาญเกาหลี ของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐระบุว่า เกาหลีเหนือยังไม่ประสบความสำเร็จในการนำน้ำหนักบรรทุกขนาดใหญ่กลับสู่ชั้นบรรยากาศโลกได้ ความสามารถที่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเทคโนโลยีขีปนาวุธข้ามทวีป

และหากเกาหลีเหนือทำสำเร็จ นั่นจะเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าเกาหลีเหนือสามารถโจมตีสหรัฐอเมริกาได้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์แล้ว และนั่นดูจะเป็น “ของขวัญ” ที่น่าเขย่าขวัญไม่น้อย

หากของขวัญของเกาหลีเหนือไม่ใช่การยิงจรวดส่งดาวเทียม แต่เป็นการทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีป หรือการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์โดยตรง

นี่ดูจะเป็นสิ่งที่เรียกความสนใจจากโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ตรงประเด็นมากกว่า

 

ย้อนไปเมื่อปี 2017 เกาหลีเหนือประกาศการทดสอบไอซีบีเอ็ม นับเป็นการประกาศให้โลกรู้เป็นครั้งแรกว่าเกาหลีเหนือกำลังพยายามพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ที่สามารถโจมตีได้ในทุกพื้นที่ของโลก

เกาหลีเหนือระบุชัดเจนในเวลานั้นว่านั่นเป็น “ของขวัญ” ให้กับสหรัฐอเมริกา โดยการทดสอบมีขึ้นในวันที่ 4 กรกฎาคม ซึ่งตรงกับวันชาติสหรัฐอเมริกาพอดิบพอดี และหลังจากนั้นผู้นำคิมทำการทดสอบไอซีบีเอ็มอีก 2 ครั้ง ตามมาด้วยการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ใต้ดินครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

อามี เบรา ตัวแทนสหรัฐอเมริกา และประธานคณะอนุกรรมการกิจการต่างประเทศภูมิภาคเอเชียของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ระบุว่า คิม จอง อึน จะมี “พฤติกรรมเชิงรุก” ในเวลาที่ผู้คนต่างละเลยความสนใจในตัวเขา

อย่างไรก็ตาม เบรามองว่า การยั่วยุของเกาหลีเหนือไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง เนื่องจากสหรัฐอาจตอบโต้ด้วยการซ้อมรบใหญ่กับเกาหลีใต้ เพิ่มกำลังทหารทั้งในและโดยรอบคาบสมุทรเกาหลี

และที่ชัดเจนก็คือ นั่นจะเป็น “ทางตัน” สำหรับการผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐ

 

แม้เกาหลีเหนือจะไม่ได้ทดสอบอาวุธนิวเคลียร์หรือทดสอบยิงไอซีบีเอ็มเลยตั้งแต่ปี 2017 หลังจากเกาหลีเหนือระเบิดอุโมงค์ในพื้นที่ทดสอบนิวเคลียร์ปุงเก-รี ก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่ชัดเจนว่านั่นจะเป็นเพียงการแสดงหน้าฉากหรือไม่

“ไม่ว่าอะไรจะอยู่ในหัวของเกาหลีเหนือ เราควรจะต้องจำเอาไว้ว่าเกาหลีเหนือมีความสามารถที่จะทำสิ่งที่เหนือความคาดหมายได้ และมีความสามารถในการที่จะทำทุกอย่างที่พวกเขาคิดว่าจำเป็นในการเพิ่มความสามารถในการป้องปรามนิวเคลียร์จากชาติอื่น โดยไม่สนว่าจะต้องแลกมาด้วยผลลัพธ์ในเชิงการทูตเพียงใด” รีเวอร์ระบุ

และว่า “อย่าประเมินพวกเขาต่ำเกินไป”