การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ฉันได้ยินเสียงตัวเองขับขานบทกวี

มีมนุษย์คนหนึ่ง กำลังมีความสุขอย่างเหลือแสน สุขจนล้นทะลักออกจากสีหน้าแววตา และเราต่างรู้กันดีว่า ความสุขนั้นมาจากที่ใด

หากเป็นฉากหนึ่งในหนัง มันก็คงเป็นหนังที่เดินเรื่องไปอย่างรวดเร็วในความเงียบช้า มนุษย์ตัวขาวเจ้าของห้อง เฝ้าวิ่งวุ่นเพื่อรับรองแขกพิเศษของตนเอง แม้จะมีร่องรอยความเกรงใจคู่เก่าอยู่รางๆ แต่ก็เจื่อนจางไปทุกที

การเปลี่ยนแปลงช่างร้ายกาจสิ้นดี ยามเมื่อมันมาถึง เมื่อได้วาระเวลา

พี่ชุนผลักจานอาหารให้ใกล้อัมพรอีกอย่างเอาอกเอาใจ บนกระดาษหนังสือพิมพ์ที่เอามารองพื้น เต็มไปด้วยข้าวปลาอาหารมากมาย ข้าวเจ้า ข้าวนึ่ง ต้มแซบ ยำทะเล ผักคะน้าผัดไฟแดง เนื้อทอด มีถึงไส้กรอกกับลูกชิ้นปิ้ง ราวว่าจะให้ครบครันทุกรสชาติที่ต้องการ

นอกจากนั้น ยังมีน้ำอัดลมเย็นซ่า มีเหล้าแดง น้ำเบียร์ และโซดา

“อะไรกันพี่” อัมพรเบิ่งตาโต “ทำไมซื้อมามากขนาดนี้”

“จะได้ไม่ต้องลงไปเอาใหม่” พี่ชุนตอบ

“อ้าว แล้วถ้าอยากได้อีกล่ะ” นังงูพิษทำเสียงชนิดหนึ่ง

“ไม่เป็นไรๆ” นั่นยังไง คำตอบย่อมเป็นอย่างที่เดาได้ “อยากได้อะไรก็บอก เดี๋ยวพี่จัดการให้”

“ยังไงกันแน่ ไหนว่าไม่อยากลงไปอีก”

“ลงได้” คนตัวขาวลากเสียงทันควัน “อยู่ที่น้องใหม่เท่านั้นล่ะ”

 

ในชีวิตของคนเรา จะเล่นละครกันสักกี่ครั้ง แล้วแต่ละครั้ง ใครเป็นนักแสดง ใครเป็นผู้ชม หรือในโลกโสมมใบนี้ เราต่างมีชีวิตเพื่อจะผลัดกันรับบทบาทต่างๆ อย่างไร้แก่นสาร

อยู่กันไปวันๆ รอจุดจบ ให้ตัวเองได้พบความตายเสีย ก็เท่านั้น…

จู่ๆ ในอีกห้วงยามหนึ่งนั้น ฉันก็รู้สึกหลุดลอยออกไปไกลสุดแสนไกล…กลางความเวิ้งว้างที่ไร้อาณาเขต จนเหมือนตัวเองเหลือแค่จุดเล็กๆ เท่าเม็ดทราย

ไกล…ในความมืดอเนกอนันต์ ฉันแทบไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของฉัน แต่ขณะเดียวกัน ฉันก็ตระหนักถึงน้ำหนักตัวเอง

 

เราต่างแค่เม็ดทรายในเวิ้งจักรวาล

เราแค่ส่วนหนึ่งของสายธารที่เคลื่อนไหล

เราเป็นน้ำเนื้อหนึ่งเดียวของสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงใดใด

โชคร้ายเพียงมีหัวใจและประสาทสัมผัสรู้สึกรู้สา

เราต่างล้วนเป็นจุดจุดหนึ่ง

ซึ่งขึ้นอยู่กับการนิยามความไร้หรือมีค่า

มองไกลสุดห้วงดวงตา

แค่หวนกลับตระหนกและตระหนักว่า

ภาระคือการมีชีวิตอยู่

 

“น้องใหม่มานั่งนี่มั้ย”

พี่ชุนตบมือข้างตัว อัมพรปรายตาดูฉัน กลิ่นเหล้าที่เคล้ามากับลมหายใจเจ้าของห้อง กับซากขวดเบียร์กอง และน้ำแข็งโซดาที่พร่องลงต่อหน้าเรื่อยๆ บอกให้รู้ว่า พี่ชุนกำลังเมามากขึ้นทุกที

ตัวฉันนั่งเยื้องห่างๆ มีหมอนวางพิงหลัง ตั้งใจกินเพียงน้ำเปล่า แต่อัมพรก็ยัดเยียดเหล้ามาให้แก้วหนึ่ง ใส่น้ำอัดลมหวานซ่า จิบไปจิบมา ก็เริ่มหนักหัวอยู่เหมือนกัน

มีแต่อัมพรเท่านั้น ยังหน้าชื่นตาใส ทั้งที่กรอกเข้าไปทั้งเบียร์ทั้งเหล้า ราวคอแข็งเหลือทน

“มาสิฮะ” พี่ชุนเรียกอีก

อัมพรเหลือบตามาอีก ฉันจึงเพยิดหน้าให้

อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ สมองบอกแบบนั้น อาจเพราะในอกใจฉัน ยังติดอยู่กับดินแดนแสนไกล…ไกลโพ้น ที่มีแต่ความมืดดำรำร่าย

 

ถ้าสามารถหายตัวไปได้ตอนนี้ ฉันคงจะทำ

ถ้าความมืดดำจะห่มคลุมทับทาบลงมา คงจะดี

ถ้าสามารถไปพ้นจากทุกแห่ง ตอนนี้

ถ้าไม่ต้องมีความรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างใดใด

ถ้าย่อตัวบีบอัดลงจนเล็กเท่าธุลีฝุ่น

ถ้าจะโยนตัวเองปลิวคว้างหมุนไปเสียกับพายุใหญ่

ถ้าจะโรยร่วงลงเพื่อสูญสลายหายไป

ถ้าจะไม่ต้องมาเกิดใหม่ไม่ว่าชาติใดก็ตาม

ถ้าจะจบสิ้นความเป็นมนุษย์และความเป็นคน

ถ้าจะไม่ต้องวิ่งวนแล้วชนแต่กำแพงคำถาม

ถ้าจะไม่ต้องสนใจในสิ่งชั่วร้ายหรือดีงาม

ถ้าจะแค่ใช้ชีวิตไปตามสัญชาตญาณ…

 

ฉันมักจะเขียนบทกวีอยู่ในหัว เวลาที่มีความรู้สึกอัดแน่นอยู่ภายใน มีเรื่องกระทบใจ หรือถูกกระตุ้นเร้าให้ต้องคิดใคร่ครวญไม่รู้จบ

ฉันพบว่า มีแต่บทกวีเท่านั้น ที่จะกลั่นระรินอยู่ในโลกส่วนตัวลึกลับ ที่ฉันจะท่องมันซ้ำๆ กลับไปกลับมา โดยไม่จำเป็นเลยว่าจะมีใครได้รู้เห็นมัน

ถ้าวันหนึ่ง…มีคนอยากอ่านบทกวีของฉัน อยากจะฟังมัน ฉันก็คงดีใจ

แต่ในวันที่รู้ว่า มันไม่อาจเป็นไปได้ ต่อให้ฉันพยายามเขียนจดหมายเป็นร้อยพันฉบับ ส่งตัวหนังสือมากมายไปหานิตยสาร ตั้งใจจะสื่อสารในสิ่งที่คิดที่รู้สึก แล้วก็ตกผลึกว่า แค่ความสูญเปล่า

ตัวหนังสือเป็นของกินไม่ได้ การเป็นนักเขียนไม่มีความหมาย ความฝันมากมายในหน้ากระดาษเฉกเช่นของฉันกับเพียงบัว สุดท้าย ก็แค่ตัวอักษรไร้ความหมาย

ทุกสิ่งที่ฉันทำมาล้วนแล้วแต่ปราศจากความหมาย เราทุกๆ คนที่กำลังวนว่ายอยู่ในแอ่งปลักโคลนนี้ด้วย

โลกสวยเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของคนที่ปิดหูปิดตา หรือว่าเห็นเพียงสิ่งที่งดงาม มองข้ามความอัปลักษณ์ทั้งปวงเสมอไป

เหมือนคนอื่นๆ อีกมากมาย ไม่มีทางมองเห็นแผลเป็นของฉันกับอัมพร

หรือเมื่อเห็น ก็แค่เป็นรอยประทับสำหรับคนโง่ๆ เท่านั้น

 

แต่ฉันก็ไม่รู้ว่า คนหลายหน้าอย่างอัมพรคิดอะไร หล่อนตั้งใจจะทำให้ฉันข้ามพ้นทะลุทุกความเจ็บปวดเสียจนด้านชา หรือว่า ให้ยังรู้สึกรู้สาเช่นเดียวกับหล่อน

อย่างที่หล่อนกระซิบไว้

“มึงเข้าใจหรือยัง อีพี่”

“เรื่องอะไร…”

“กูไม่ได้มีความสุขอย่างที่มึงคิด มึงต่างหาก มีชีวิตดีกว่ากูอยู่ตลอด”

“เธอรู้ได้ยังไงอัมพร”

“รู้สิ ถึงที่สุด มึงน่ะก็มีแต่คนรัก…มีแต่คนรักมึง”

“เธอวัดจากอะไร”

“ใจกูนี่ไง ใจกู”

อัมพรจ้องหน้าฉัน ขณะมือยังจับข้อเท้าฉันไว้ และทรวงอกเปล่าเปลือยก็เผยรอยแผลเด่นชัด

“เธอรักใครเป็นหรืออัมพร”

“ทำไม? มึงมีจิตใจอยู่คนเดียวรึ”

“ไม่รู้สิ…ฉันไม่คิดว่าเธอจะ…รักใคร”

“หึ” อัมพรแค่นยิ้ม “มึงมันโง่ยังไงก็โง่อยู่ยังงั้น”

“เธอว่าฉันอีกแล้วนะ”

“เออ กูจะว่ามึง จะว่ามึงไปจนตาย!”

อัมพรจิ้มนิ้วชี้เข้าที่กลางหน้าผากของฉัน

“แล้วมึงอย่าหวังนะ เจอกันอีกหนนี้ กูจะปล่อยมึงไปไหนอีกง่ายๆ”

“ทำไม…”

“ไม่ทำไม กูหามึงเจอแล้วไง”

“เธอไม่ได้ตามหาฉัน อัมพร อย่ามาพูดเอาดีใส่ตัว”

“เออ มึงคอยดูก็แล้วกัน”

“เธอจะทำอะไร”

“กูจะทำให้มึงเข้าใจ ว่าความรู้สึกของกูเป็นยังไง”

“เรื่องอะไร”

“ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับมึง”

 

คําพูดของอัมพรยังสะท้อนอยู่ในหัวเป็นช่วงๆ ท่ามกลางแสงสะท้อนจากดวงตาสีดิน

ตรงหน้ายังเกลื่อนด้วยกองของกิน เมื่อพี่ชุนเริ่มต้นดึงอัมพรเข้าหา จงใจจะเคลียเคล้าหน้าเข้าใกล้หน้า และอัมพรก็ไม่แสดงว่าจะปัดป้องอะไร

พี่ชุนอาจลืมไปแล้วว่ามีใครอีกอยู่ในห้อง

หรือปราศจากการมองเห็นฉันอีกต่อไป

ส่วนอัมพร ฉันแน่ใจ หล่อนรู้ว่าฉันยัง “เห็น” หล่อนอยู่

ฉันกำลังรู้สึกอย่างไร เม็ดทรายร่วงหล่นลง เหมือนลมพัดฝุ่นกลับจากเวิ้งจักรวาล ฉันได้ยินเสียงตัวเองขับขานบทกวีอยู่กระท่อนกระแท่น แสนไกล

พี่ชุนกำลังตั้งอกตั้งใจ รั้งอัมพรเอาไว้ แล้วควานริมฝีปากเข้าหา ยินแว่วๆ ว่า จะขอชิมรสลิปของหล่อน