ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 ธันวาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ |
ผู้เขียน | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ |
เผยแพร่ |
ในตอนนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศจากเรื่องราวของนิทรรศการศิลปะ มานำเสนอเรื่องราวของศิลปินผู้ทรงอิทธิพลต่อวงการศิลปะโลกกันอีกคนกันบ้าง
ศิลปินคนที่เรากำลังจะพูดถึงมีชื่อว่า
เอ็ม. ซี. เอสเชอร์ (M.C. Escher)
หรือในชื่อเต็มว่า มัวริตส์ คอร์เนลิส เอสเชอร์ (Maurits Cornelis Escher) (17 มิถุนายน 1898 – 27 มีนาคม 1972)
ศิลปินภาพพิมพ์ชาวดัตช์ ผู้เปี่ยมเอกลักษณ์โดดเด่นในการสร้างภาพทิวทัศน์อันพิสดาร ภาพจินตนาการและความฝันอันผกผันลักลั่น, ภาพสถาปัตยกรรมแปลกประหลาด, ทัศนียภาพอันพิลึกพิลั่นต้านแรงโน้มถ่วง, รูปทรงหลายเหลี่ยม, รูปทรงสมมาตร, ภาพสะท้อน, แพตเทิร์นต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาพแบบเทสเซลเลชั่น (Tessellation ภาพทางคณิตศาสตร์ที่นำรูปทรงเรขาคณิตหรือรูปทรงและสัญลักษณ์ต่างๆ มาเรียงต่อกันโดยไม่มีช่องว่างหรือทับซ้อนเกยกันเลยแม้แต่น้อย) ที่ผ่านการคิดคำนวณอย่างละเอียดซับซ้อน
ในช่วงแรกของการทำงานศิลปะ เอสเชอร์ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติรอบตัว จากการศึกษาภูมิทัศน์, แมลง สรรพสัตว์ และพืชพรรณนานามาใช้เป็นรายละเอียดในผลงาน เขาเดินทางท่องเที่ยวในอิตาลีและสเปน เพื่อสเกตช์ภาพอาคาร ภูมิทัศน์เมือง สถาปัตยกรรมอย่าง อาสนวิหาร ป้อมปราการและพระราชวังต่างๆ และเริ่มมีความสนใจในโครงสร้างทางคณิตศาสตร์มากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงแม้จะไม่ได้ร่ำเรียนทางคณิตศาสตร์มาก่อน แต่เอสเชอร์ก็มีความรู้และความเข้าใจในศาสตร์แขนงนี้เป็นอย่างดี
และถึงแม้จะไม่มีหลักฐานว่าเขามีความเชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์ แต่เอสเชอร์ก็มีปฏิสัมพันธ์อันดีกับนักคณิตศาสตร์ชั้นนำหลายคนอย่าง จอร์จ โพลยา (George Pólya), โรเจอร์ เพนโรส (Roger Penrose), แฮโรลด์ ค็อกซีเตอร์ (Harold Coxeter) และนักผลิกศาสตร์ (Crystallography ศาสตร์ที่ศึกษาการเรียงตัวของอะตอมในของแข็ง) รวมถึงทำงานวิจัยในเชิงคณิตศาสตร์ของเขาเองด้วย
เอสเชอร์เป็นศิลปินคนแรกๆ ที่ทำลายขอบเขตพรมแดนระหว่างศิลปะและวิทยาศาสตร์ โดยหลอมรวมรูปทรงที่เกิดจากการคำนวณทางคณิตศาสตร์อันสลับซับซ้อนเข้ากับภาพวาดลายเส้นอันประณีตละเอียดอ่อนและมุมมองอันเหนือธรรมดาเข้าไว้ด้วยกัน
ผลงานของเขาเป็นการผสมผสานระหว่างความสมจริงสมจังและจินตนาการอันน่าพิศวง
เขาสร้างชื่ออย่างมากจากภาพวาดสิ่งก่อสร้างอันเป็นไปไม่ได้ที่สร้างขึ้นจากรูปทรงเชิงคณิตศาสตร์, สถาปัตยกรรม และมุมมองอันแปลกประหลาด จนกลายเป็นภาพลักษณ์เปี่ยมปริศนาอันยากจะอธิบายขึ้นมา
เขายังวาดภาพลายเส้นอันละเอียดอ่อน อย่างเช่นภาพที่ได้แรงบันดาลใจจากภูมิทัศน์ในอิตาลีอีกด้วย
ผลงานส่วนใหญ่ของเอสเชอร์เป็นภาพพิมพ์แกะไม้ (Woodcut), ภาพพิมพ์หิน (Lithography) และภาพพิมพ์โลหะเมซโซทินต์ (Mezzotint) ที่สร้างสรรค์ขึ้นจากกระบวนการที่เต็มไปด้วยรายละเอียดและความแม่นยำ และต้องอาศัยเวลา ทักษะ และความชำนาญอย่างมาก
ในระยะเวลากว่า 60 ปี ของอาชีพศิลปิน เขาสร้างผลงานภาพพิมพ์จำนวน 448 ชิ้น นับเฉลี่ยได้ราวเจ็ดถึงแปดชิ้นต่อปี
การสร้างภาพเปรียบเทียบระหว่างวัตถุสามมิติกับระนาบสองมิติเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นอีกประการในผลงานของเอสเชอร์ อาทิ ในผลงาน Drawing Hands (1948) ภาพวาดมือทั้งสองที่วาดภาพฝ่ายตรงข้ามเพื่อสร้างตัวตนของกันและกันขึ้นมาอย่างน่าพิศวง
ผลงานของเอสเชอร์มักสร้างอุปมาอุปไมยถึงแนวคิดเชิงนามธรรมของความไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ในขณะเดียวกัน ภาพวาดในเชิงรูปธรรมอันแปลกตาของเขาก็ค่อนข้างแปลกและแตกต่าง เมื่อเทียบกับยุคสมัยของเขาที่งานศิลปะนามธรรมเป็นที่นิยมอย่างสูง
ในฐานะศิลปิน เอสเซอร์ทำงานอย่างโดดเดี่ยวตามลำพังโดยไม่ข้องแวะกับกลุ่มหรือกระแสเคลื่อนไหวใดๆ แม้แต่กลุ่มเซอร์เรียลลิสต์ ที่มีบุคลิกการทำงานและแนวคิดใกล้เคียงกันอย่างมาก และถึงแม้ผลงานของเขาจะส่งผลอย่างมากต่อการพัฒนาการของงานศิลปะหลายรูปแบบอย่างเช่น Op Art แต่เขาก็ปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับกระแสเคลื่อนไหวทางศิลปะเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง
ถึงแม้ในยามมีชีวิต เขาจะถูกมองข้ามไม่ได้รับการยอมรับนับถือในวงการศิลปะ แม้ในประเทศบ้านเกิดของเขาเองก็ตาม
แต่ในภายหลังจากที่เขาเสียชีวิต ผลงานของเขาก็ได้รับความนิยมอย่างสูงจากสาธารณชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงศตวรรษที่ 21
เอสเซอร์ยังได้รับการยกย่องให้เป็นผู้บุกเบิกงานศิลปะแนวไซคีเดลิก (Psychedelic Art) โดยกระแสวัฒนธรรมบุปฝาชนหรือฮิปปี้ในยุค 1960s อีกด้วย
ผลงานของเอสเชอร์ส่งอิทธิพลแก่ศิลปินและนักสร้างสรรค์รุ่นหลังอย่างมหาศาล ถูกเผยแพร่, ลอกเลียนแบบ และทำซ้ำตามสื่อต่างๆ อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในงานศิลปะ งานออกแบบสาขาต่างๆ หรือในสื่อต่างๆ อย่าง ภาพกราฟิก, การ์ตูน, นิตยสาร, หนังสือ, โปสการ์ด, สแตมป์, โทรทัศน์, อินเตอร์เน็ต, อัลบั้มดนตรี
ถึงแม้ครั้งหนึ่งเอสเชอร์จะเคยปฏิเสธ มิก แจ็กเกอร์ นักร้องนำวง The Rolling Stones ที่ขอภาพวาดของเขาไปใส่บนปกอัลบั้มของวง
แต่ผลงานของเขาก็ไปปรากฏอยู่บนปกอัลบั้มหลากหลาย อาทิ อัลบั้ม L The P (1969) ของวง Scaffold และอัลบั้มแรกของวง Mott the Hoople ในปี 1969)
หรือแม้กระทั่งภาพยนตร์ อาทิ ในภาพยนตร์อย่าง Labyrinth (1986), Lara Croft Tomb Raider : The Cradle of Life (2003), A Nightmare on Elm Street : The Dream Child (1989), The Lord of the Rings : The Fellowship of the Ring (2001) และ The Two Towers (2002), The Matrix (1999) หรือแม้แต่เป็นแรงบันดาลใจให้โปสเตอร์หนังอย่าง The Cabin in the Woods (2011)
รวมถึงหนัง Inception (2010) ที่ปฏิเสธไม่ได้แน่ๆ ว่า ฉากเมืองพับอันลือลั่น สถาปัตยกรรมย้อนแย้งไร้แรงโน้มถ่วง (Paradoxical Architecture) และฉากบันไดพิศวง (Penrose stairs) ในหนังนั้นเป็นลักษณะเฉพาะตัวที่พบเห็นได้ในผลงานของเอสเชอร์ทั้งสิ้น ในสารคดีเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์ ผู้กำกับหนังอย่าง คริสโต เฟอร์ โนแลน ก็เปิดเผยว่าเขาได้แรงบันดาลใจด้านงานสร้างมาจากผลงานของเอสเชอร์ด้วย
ในปี 1969 เอสเชอร์สร้างสรรค์ผลงานชิ้นสุดท้ายอย่าง Snakes ที่แสดงออกถึงความรักอันเปี่ยมล้นต่อสิ่งมีชีวิต, รูปทรงสมมาตร, รูปทรงเชื่อมต่อกันซ้ำๆ และสภาวะอันเป็นอนันต์ ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ในบ้านพักคนชราที่เมืองลาเรน ในปี 1970
จนในปี 1972 เอ็ม. ซี. เอสเชอร์ เสียชีวิตที่เมืองฮิลเวอร์ซัม เนเธอร์แลนด์ ด้วยวัย 73 ปี เหลือไว้แต่เพียงผลงานอันน่าพิศวงที่ส่งผ่านแรงบันดาลใจสู่คนรุ่นหลัง