ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 ธันวาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | วิรัตน์ แสงทองคำ |
ผู้เขียน | วิรัตน์ แสงทองคำ |
เผยแพร่ |
ธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจใหญ่ ยังคงทรงอิทธิพลในสังคมไทย ขณะเผชิญแรงกดดันให้ปรับตัวอยู่เสมอ
เรื่องราวการปรับตัวอย่างคึกคักเป็นพิเศษ มองผ่านบริการทางการเงินใหม่ๆ โดยเฉพาะธนาคารใหญ่ๆ ผู้นำบริการรายย่อย แข่งขันกันอย่างดุเดือด พลิกบริหารอย่างหลากหลายออกสู่ตลาด
แทบจะเรียกได้ว่า พอๆ กับสินค้าคอนซูเมอร์ที่เรียกว่า Fast Moving Consumer Goods (FMCG) อ้างอิงกับสถานการณ์กำลังเผชิญอย่างครั่นคร้าม กับสิ่งที่เรียกว่า Disrupt Technology
ในภาพใหญ่ ธนาคารในประเทศไทย ได้สร้างปรากฏการณ์ที่แตกต่างจากธนาคารในประเทศทุนนิยมทรงอิทธิพลทั่วๆ ไป ดูจะเป็นธุรกิจให้ความสำคัญการโฆษณาสินค้า-บริการและภาพพจน์อย่างมากมาย ในรูปแบบที่แตกต่างและโลดโผนอย่างน่าทึ่ง อย่างกรณีหนึ่งซึ่งเพิ่งเกิดขึ้น -KBankxBLACKPINK
ทว่ากรณีใหญ่ซึ่งให้ความสนใจในฐานะดีลใหญ่แห่งปี คือกรณีธนาคารทหารไทย-ธนชาต
“เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562 ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงแบบไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (Non-binding Memorandum of Understanding) ระหว่างธนาคารทหารไทย, ธนาคารธนชาต, ING Groep N.V., บริษัททุนธนชาต และ The Bank of Nova Scotia เพื่อกำหนดกรอบความเข้าใจและหลักการสำหรับการเจรจาร่วมกันต่อไปเกี่ยวกับการเข้าทำธุรกรรมต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการรวมกิจการระหว่างธนาคารทหารไทยและธนาคารธนชาต”
สาระสำคัญสรุปความมาจากถ้อยแถลงต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ของทั้งธนาคารทหารไทยและทุนธนชาต (ในฐานะ Holding company ถือหุ้นใหญ่ในธนาคารธนชาต)
สื่อและผู้คนในสังคมธุรกิจไทยให้ความสนใจกันอย่างมาก เมื่อต้นปีที่กำลังจะผ่านพ้น ขณะเดียวกันพากันมองข้ามช็อต ถึงการเกิดขึ้นของธนาคารใหญ่แห่งใหม่
“จะมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท ฐานลูกค้ากว่า 10 ล้านคน และมีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 6 ในอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์ไทย” ข้อมูลซึ่งนำเสนอมา (ในขณะนั้น) ว่าไปแล้วก็แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันดับ เนื่องจากระบบธนาคารไทยมีลักษณะะพิเศษ ตามโมเดลธนาคารใหญ่ กับธนาคารขนาดเล็ก กรณีนี้เป็นเพียงเพิ่มขนาดกลางขึ้นมาอีกแห่ง
ส่วนผู้เกี่ยวข้องอีกสองฝ่ายซึ่งเป็นธนาคารระดับโลก ในฐานะผู้ถือหุ้นรายสำคัญ 2 ราย ต่างทวีป ของทั้งสองธนาคาร ซึ่งผมให้ความสนใจเป็นพิเศษในดีลนี้มาแต่ต้นได้ให้ข้อมูลให้ภาพเป็นไปอย่างกระชับและชัดเจน
จาก ING Bank N V ธนาคารแห่งเนเธอร์แลนด์ ถือหุ้นใหญ่ในธนาคารทหารไทย ด้วยสัดส่วน 30% ย้ำว่า ดีลนี้เมื่อจบลง คาดว่า ING จะถือหุ้นมากกว่า 20% และคงเป็นผู้ถือหุ้นสำคัญต่อไป (committed shareholder) ขณะ The Bank of Nova Scotia (BNS) ธนาคารชั้นนำของแคนาดา เข้าถือหุ้นธนาคารธนชาต (ปี 2550) ถึง 49% กล่าวว่า “จะลดการลงทุนในประเทศไทยอย่างมีนัยยะสำคัญ” และหวังว่า “จะได้ผลตอบแทนที่ดีในการขายหุ้น”
ทั้งนี้ “ธนาคารทหารไทยและธนาคารธนชาตลงนามจะควบรวมกิจการกันให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นปี (TMB and Thanachart Bank agree to merge by year-end)” หัวข้อข่าวของ ING (https://www.ing.com)
ผ่านมาราวครึ่งปี ความคืบหน้ามาถึงจุดสำคัญ (9 สิงหาคม 2562) “คณะกรรมการเห็นชอบโครงการการรวมกิจการระหว่างธนาคารทหารไทยและธนาคารธนชาต”
สรุปสาระสำคัญจากถ้อยแถลงต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ของทั้งธนาคารทหารไทยและทุนธนชาต ผ่านที่ประชุมกรรมการ นำไปสู่ขั้นตอนทางเทคนิคอย่างระมัดระวัง อย่างซับซ้อนมากมาย ในขั้นต่อๆ ไป โดยเฉพาะการเปิดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นลงมติรับรองอย่างเป็นทางการ
ในที่สุดได้มาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ (3 ธันวาคม 2562) ตามถ้อยแถลงต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยธนาคารทหารไทย เรื่อง “การได้มาซึ่งหุ้นธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) และการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของธนาคารทหารไทยจำกัด (มหาชน) ให้แก่บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) Scotia Netherland Holding B.V. และผู้ถือหุ้นรายย่อยของธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน)”
ว่ากันเฉพาะสาระสำคัญ (ตัดรายละเอียดทางเทคนิคออกไปบ้าง) ธนาคารทหารไทย เข้าซื้อหุ้นธนาคารธนชาต เกือบทั้งหมด
“ได้ดำเนินการเข้าซื้อหุ้นในธนาคารธนชาต 6,062,438,397 หุ้น คิดเป็น 99.96% จากทุนธนชาต และ BNS เป็นที่เรียบร้อยแล้วในราคาประมาณ 167,000 ล้านบาท…ในการนี้ ธนาคารธนชาตจึงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของธนาคารทหารไทย ทั้งนี้ จะดำเนินการโอนกิจการทั้งหมดของธนาคารธนชาตมายังธนาคารทหารไทยต่อไป ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2564”
ยังไม่จบแค่นั้น ในวันเดียวกันนั้น ธนาคารทหารไทยแถลงในขั้นตอนสำคัญต่ออีกว่า ได้ดำเนินการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนธนาคารทหารไทยให้กับบริษัททุนธนชาต และ BNS (Bank of Nova Scotia) ผู้ถือหุ้นเดิมของธนาคารธนชาตด้วย
“มูลค่าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของธนาคารทหารไทยที่ทุนธนชาตจะซื้อเป็นจำนวนรวมประมาณ 41,850.00 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนของธนาคารทหารไทย ที่ซื้อทั้งสิ้น 19,375,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 20.1” ข้อมูลที่มีละเอียดเพิ่มขึ้นจากถ้อนแถลงของทุนธนชาตในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่เดิมของธนาคารธนชาต (แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันเดียวกัน)
ขณะที่ผู้ถือหุ้นธนาคารธนชาตรายสำคัญอีกแห่งหนึ่ง ก็ให้ความสำคัญแหล่งข่าวด้วยเช่นกัน ซึ่งมาไกลจากเมือง TORONTO ประเทศแคนาดา ในประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวเนื่อง “การลดการลงทุนในประเทศไทย” (อ้างจาก Scotiabank closes previously announced transaction to reduce investment in Thailand-December 3, 2019–https://www.scotiabank.com/corporate/en)
โดยสรุปว่าได้ดำเนินการตามแผนการการควบรวมธนาคารทหารไทยกับธนาคารธนชาต โดย Scotiabank (ตามเอกสารของธนาคารทหารไทยเรียก BNS ซึ่งย่อมาจาก Bank of Nova Scotia) โดยได้ลดการถือหุ้น 49% ในธนาคารธนชาต เพื่อได้มาซึ่งเงินจำนวนหนึ่งกับการถือหุ้น 6% ในธนาคารทหารไทย
ดีลข้างต้นสะท้อนภาพใหญ่ สะท้อนความเป็นไประบบธนาคารไทยปัจจุบัน ในบางมิติที่น่าสนใจ
ประการแรก-สะท้อนภาพการปรับตัว และการเปลี่ยนแปลงธนาคารภายใต้แรงกดดัน แรงขับเคลื่อนโดยผู้ถือหุ้นและผู้บริหารธนาคารเอง เพื่อตอบสนองสถานการณ์ซึ่งเปลี่ยนแปลง แตกต่างจากยุคธนาคารไทยก่อนปี 2540 การเปลี่ยนแปลง และถูกบังคับให้ปรับตัว มักมาจากแรงกดดันจากทางการ
เชื่อว่าเป็นไปแนวโน้มหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นกับระบบธนาคารในประเทศทุนนิยม เช่น ในสหรัฐอเมริกา อย่างที่เคยกล่าวไว้ “จำนวนธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐอเมริกาได้ลดลงจาก 25,000 แห่งในทศวรรษ 1920 เหลือ 14,000 แห่งในทศวรรษ ขณะปัจจุบันเหลือน้อยกว่า 6,000 แห่ง โดยธนาคารใหญ่ 10 อันดับแรก มีสินทรัพย์รวมกันมากกว่า 50% ของทั้งระบบ”
อีกประการหนึ่ง-ภายใต้โครงสร้างใหม่ ธนาคารพาณิชย์ไทยยุคหลังปี 2540 ซึ่งมีธนาคารระดับโลกเข้ามาถือหุ้น เข้ามามีบทบาทมากขึ้น การเปลี่ยนแปลง การปรับตัว ในหลายกรณีเป็นไปตามแผนการและนโยบายซึ่งผันแปรของธนาคารระดับโลกนั้นด้วย
อย่างกรณีธนาคารทหารไทย-ธนาคารธนชาต เชื่อว่าเป็นไปตามนั้น อย่างที่เคยนำเสนอไว้เช่นกัน
ING ย้ำว่า ดีลธนาคารทหารไทย-ธนาคารธนชาต “คงเป็นผู้ถือหุ้นสำคัญต่อไป (committed shareholder)” ในภาพกว้างกว่านั้น ING มองเครือข่ายธุรกิจย่านเอเชียในเชิงบวกเป็น “ตลาดที่เติบโต” (Growth Markets)
ที่น่าสนใจขอเพิ่มเติมซึ่งอาจเชื่อมโยงกันหรือไม่ก็ตาม จากกรณีที่เคยกล่าวไว้ว่า “เพิ่งแต่งตั้งผู้บริหารคนสำคัญเป็นคนไทย (ธเนศ ภู่ตระกูล เป็น CFO and Member Management Board Banking)”
ธเนศ ภู่ตระกูล มีประสบการณ์บริหารธุรกิจเงินมาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูของกลุ่มเอกธนกิจ (ช่วงปี 2534-2541) ก่อนมาเป็นผู้บริหารกิจการหลักทรัพย์ของ ING ซึ่งเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยช่วงวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ (ปี 2541-2546) ที่สำคัญเข้ามามีบทบาทบริหารสำคัญในฐานะ CFO ธนาคารทหารไทยในช่วงที่ ING เข้ามาถือหุ้น (ปี 2549-2551) จากนั้นเขามีบทบาทกว้างขึ้นใน ING ระดับโลก อยู่ประมาณ 7 ปี ก่อนจะได้รับแต่งตั้งเป็น Management Board Banking และ CFO ของ ING Bank N.V.ในต้นปีที่ผ่านมา
ขณะที่ Scotiabank มีมุมมองที่แตกต่าง เป็นไปตามแผนการ “จะลดการลงทุนในประเทศไทยอย่างมีนัยยะสำคัญ” โดยมุ่งขยายธุรกิจในแคนาดาและอเมริกาใต้เป็นสำคัญ ขณะลดความเสี่ยงในภูมิภาคอื่น ถอนตัวทางธุรกิจมาแล้วมากกว่า 20 ประเทศ (ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา)
โดยเฉพาะในเอเชีย “ได้ลดขนาดลงทุนลง 21%”
ผลพวงจากดีลแห่งปีข้างต้น คงมีเป็นปกติของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่น่าสนใจคงอยู่ที่ทุนธนชาต ซึ่งมีภาระในการจัดการบริษัทย่อยของธนาคารธนชาตอีกพอสมควร ยังคงความสัมพันธ์กับ Scotiabank ซึ่งประกาศแผนการว่าจะค่อยๆ ลดบทบาทลงอีกด้วย
(Scotiabank will retain a 49% interest in two TBank subsidiaries. It is expected a sale process for these subsidiaries will commence in early 2020 with a closing expected during 2020 จากข่าว Scotiabank closes previously announced transaction to reduce investment in Thailand อ้างแล้ว)
บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) ซึ่งปรับตัวมาตลอด 6 ทศวรรษ ตั้งแต่ก่อตั้งจากกิจการเล็กๆ ในปี 2502 เข้าตลาดหุ้นตั้งแต่ยุคต้นตลาดหุ้นในปี 2518 ก่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ให้นิยามธุรกิจไว้ว่า “บริษัทแม่ของกลุ่มธุรกิจทางการเงิน”
หลังจากดีลธนาคารทหารไทย-ธนชาตแล้ว เมื่อพิจารณาผลประกอบการ คงดำเนินไปด้วยดี ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาดูจะสะท้อนความเป็นไปในเชิงบวก
เป็นบทเรียนธุรกิจไทยอีกกรณีหนึ่งที่น่าติดตาม