จาก Mini Heart ถึง I love you สูตร“ปรองดอง”ฉบับ“บิ๊กป้อม” สัญญาประชาคมฉบับ“บิ๊กเจี๊ยบ”กับคลื่นใต้น้ำยามสงบ

จาก Mini Heart ถึง I love you สูตร “ปรองดอง” ฉบับ “บิ๊กป้อม” สัญญาประชาคม ฉบับ “บิ๊กเจี๊ยบ” กับคลื่นใต้น้ำ ยามสงบ จับตา “หัวหน้า CIA” เมืองไทย

ดูเหมือนว่า การที่ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ คสช. จะออกมายืนยันไปแล้วว่า ไม่มี “ดีล” กับนักการเมือง เพื่อปูทางอำนาจให้น้องรักอย่าง บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือแม้แต่ตัวเอง ในการจัดตั้งรัฐบาลปรองดองแห่งชาติ และการเป็นนายกรัฐมนตรีคนนอก ในกระบวนการปรองดอง ที่กำลังทำกันอยู่นี้ก็ตาม

แต่หลายฝ่ายยังเชื่อว่า สูตรอำนาจทางการเมืองหลังการเลือกตั้งปี 2561 ก็จะต้องไปจบที่รัฐบาลปรองดองแห่งชาติ ไม่ว่าจะมีดีลหรือไม่ก็ตาม

อันเป็นปลายทางของกระบวนการสร้างสามัคคีปรองดอง ที่ พล.อ.ประวิตร เป็นหัวแรงใหญ่อยู่ตอนนี้

จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. ออกมาประกาศซ้ำอีกครั้งว่า ไม่มีการ “เกี้ยเซี้ย” ใดๆ ในเรื่องการนิรโทษกรรม

ส่วน พล.อ.ประวิตร ก็ระบุว่า ให้เรื่องของรัฐบาลหลังการเลือกตั้งในปี 2561 ที่จะดำเนินการกันเอง ไม่เกี่ยวกับกระบวนการปรองดองนี้ของรัฐบาลและ คสช.

แต่กระแสข่าวต่างๆ ที่ออกมาในช่วงนี้ สะพัดในหมู่นักการเมือง ถึงขั้นที่ระบุว่า “ถ้าทหารไม่เป็นนายกฯ” ก็จะให้นักการเมืองบางคนจากบางพรรค ที่ได้ชื่อว่าเป็นพรรคนอมินีทหาร และใกล้ชิดบิ๊กทหาร เป็นนายกฯ

โดยยังคงมีการพาดพิง พล.อ.ประวิตร อยู่เสมอๆ ด้วยเพราะมีนายทหารบางคนที่อ้างความเป็นเพื่อน ตท.6 และคนใกล้ชิด ที่เข้าไปอยู่ในพรรคการเมืองต่างๆ พยายามโยงใยให้นักการเมืองเข้าใจว่า พล.อ.ประวิตร ส่งตนเองมาดีลกับพรรคการเมือง

จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องออกมาขอร้องทุกฝ่ายว่า อย่าไปจับผิด พล.อ.ประวิตร มากนักเลย เพราะท่านตั้งใจทำเต็ม 100 ถ้าไปพูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง พล.อ.ประวิตร จะท้อแท้

แต่งานนี้ พล.อ.ประวิตร คาดหวังกับกระบวนการปรองดองนี้อย่างมากถึงขั้นที่ยอมเป็นพรีเซ็นเตอร์ในการทำท่า Mini Heart เป็นสัญลักษณ์ของความรักความสามัคคี ปรองดอง ด้วยตนเอง เพื่อเป็นการส่งสัญญาณความปรองดอง

พล.อ.ประวิตร ได้รับคำแนะนำให้ใช้ท่าทางเชิงสัญลักษณ์ เพื่อแสดงออกถึงความปรองดอง และสร้างบรรยากาศดีๆ รวมทั้งต้องอารมณ์ดี และไม่แสดงอารมณ์ฉุนเฉียว

เช่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้มากขึ้น เพื่อไม่ให้กระทบต่อบรรยากาศปรองดองที่กำลังเป็นไปด้วยดี เพราะทุกพรรคการเมืองขานรับร่วมเจรจาโต๊ะกลมที่กลาโหม

นอกจาก พล.อ.ประวิตร ก็ยังส่ง บิ๊กณัฐ พล.ท.ณัฐ อินทรเจริญ รองเสนาธิการทหารบก ในฐานะ ผอ.ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ศปป.) ของ คสช. ลงพื้นที่ทั่วประเทศ เดินหน้าพูดคุยปรองดอง ในระดับกำนันผู้ใหญ่บ้านขึ้นมา

โดยที่ พล.ท.ณัฐ แกนนำ ตท.20 น้องรักของ พล.อ.ประวิตร ที่ก็ใช้ท่า I love you เป็นท่าที่สื่อถึงความปรองดอง ภายใต้แนวคิดที่ว่า “คนไทยหัวใจเดียวกัน” เช่นเดียวกับที่ พล.อ.ประวิตร ก็เน้นย้ำ

เรียกได้ว่า งานนี้ พล.อ.ประวิตร มีแผนงานหรือแคมเปญในการรณรงค์กระบวนการสร้างสามัคคีปรองดอง แบบที่ไม่เคยทำมาก่อน

พล.ท.ณัฐ อินทรเจริญ

ที่สำคัญคือ พล.อ.ประวิตร ปรับโครงสร้างใหม่ ด้วยการมานั่งเป็นประธานคณะกรรมการเตรียมการสร้างสามัคคีปรองดอง ด้วยตนเอง จากเดิมที่มอบให้ บิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกลาโหม เป็นหัวเรือใหญ่

แล้วดึง ผบ.เหล่าทัพ ที่เดิมเคยอยู่แต่ในคณะกรรมการอำนวยการ ให้มาเป็นประธานอนุกรรมการด้านต่างๆ

ทั้ง พล.อ.ชัยชาญ ที่เป็นประธานอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นฯ ที่จะเป็นคนที่รับฟังความคิดเห็นจากพรรคการเมืองต่างๆ ที่เชิญมานั่งคุย แบบที่เรียกว่า “โต๊ะกลม” ที่กลาโหม ที่เปิดฉากไปตั้งแต่ 14 กุมภาพันธ์ 2560 วาเลนไทน์ที่ผ่านมา

ด้วยความที่ พล.อ.ชัยชาญ ก็ได้ชื่อว่าเป็นนายทหารสายบุ๋น ที่มีความใจเย็น พร้อมที่จะนั่งฟังนักการเมืองแสดงความคิดเห็นได้นานเป็นครึ่งวัน

จากนั้นความคิดเห็นต่างๆ ใน 10 ด้านที่ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร กำหนดมา ที่เปรียบเสมือนการให้นักการเมืองมาแสดงวิสัยทัศน์นั้น ก็จะถูกนำมาบูรณาการ โดยคณะอนุกรรมการบูรณาการความคิดเห็น ที่มี บิ๊กปุย พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผบ.สูงสุด เป็นประธาน ร่วมกับนักวิชาการพลเรือน

เพราะ พล.อ.สุรพงษ์ ก็ถือได้ว่าเป็นนายทหารสายบุ๋น ที่เหมาะที่จะทำงานด้านนี้

พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล

ก่อนที่จะส่งมาให้คณะอนุกรรมการร่างข้อเสนอ “สัญญาประชาคม” ที่มี บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. เป็นประธาน ร่วมด้วยนักวิชาการพลเรือนจากหลายสถาบัน โดยเฉพาะ นายสมคิด เลิศไพทูรย์ เพื่อร่างเป็นสัญญาประชาคม แล้วนำไปเวทีสาธารณะ ให้ประชาชนมีส่วนร่วม

เพราะในที่สุด จะไม่มีข้อตกลง หรือเอ็มโอยูใดๆ แต่จะเป็น “สัญญาประชาคม” ที่ไม่ต้องลงนาม แต่ทว่า ให้ประชาชนเป็นสักขีพยาน

ที่จะทำให้บทบาทของ พล.อ.เฉลิมชัย ผบ.ทบ. ที่เป็นนายทหารนักรบ และรบพิเศษ และร่างสัญญาประชาคมฉบับนี้ เป็นที่จับตามอง เพราะถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์ ที่จัดทำขึ้นโดย ผบ.ทบ. ที่คุมกำลังรบ คุมกำลังปฏิวัติ

แต่แน่นอนว่า พล.อ.ประวิตร ออกตัวไว้ก่อนแล้วว่า แม้จะไม่ใช่เอ็มโอยู ไม่ใช่ข้อตกลง แต่เปลี่ยนมาเป็นสัญญาประชาคม แต่ทหารก็ไม่จำเป็นต้องไปทำสัญญาประชาคม ว่าทหารจะไม่ปฏิวัติรัฐประหารในกระบวนการนี้

“ทหารไม่ได้อยากรัฐประหาร เพราะถ้าไม่สำเร็จ ประชาชนไม่เอาด้วย ก็ถูกยิงเป้า” บิ๊กป้อมลั่น

แม้ว่าในความเป็นจริง การรัฐประหารในประเทศไทยมีสัดส่วนของการรัฐประหารที่สำเร็จมากกว่าการกลายเป็นกบฏ ก็ตาม

แต่นี่เป็นแค่การเริ่มต้นของกระบวนการปรองดอง ที่ทุกสายตาจับจ้องว่า ปลายทางจะสำเร็จหรือไม่ ภายใต้ข้อกังขาเรื่อง “ดีล” และ “เกี้ยเซี้ย”

ในขณะที่ความเคลื่อนไหวต่างๆ ในทางการเมือง ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ก็ยังคงถูก คสช. จับตามอง

แม้ว่าภาพรวมนักการเมือง ยอมเข้าร่วมกระบวนการปรองดอง และดูเงียบสงบ แต่ก็มีการเตรียมพร้อมที่จะเลือกตั้ง โดยการคัดเลือกนักการเมือง รุ่นที่ 2 และ 3 ที่เป็นรุ่นลูกหลาน และเครือญาติของนักการเมืองที่ถูกคดี หรือถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง และที่มีอายุมาก ให้เตรียมพร้อม

แต่หน่วยข่าวกรองก็จับตาความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งใต้ดิน และภายนอกประเทศ

พลันที่มีชื่อของ บิ๊กเจอร์รี่ พล.ท.ธนเกียรติ ชอบชื่นชม ผู้บัญชาการศูนย์รักษาความปลอดภัย (ผบ.ศรภ.) กองบัญชาการกองทัพไทย หรือที่รู้จักกันในนาม CIA เมืองไทย ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรองทหารสำคัญของกองทัพ เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนสุดท้อง

ที่มีการแต่งตั้งมาพร้อมกัน 3 คนล่าสุด พร้อมกับ บิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกลาโหม และ บิ๊กต้อ พล.อ.สสิน ทองภักดี เสนาธิการทหารบก ก็ทำให้เกิดคำถามกันอย่างกว้างขวางในกองทัพว่า เพราะอะไรนายทหารยศพลโท ที่เก็บตัวเงียบๆ คนนี้ จึงได้มาเป็น สนช.

แต่วงในแล้วรู้กันดีว่า พล.ท.ธนเกียรติ ผู้นี้ เป็นนายทหารหน่วยข่าวกรองที่มีฝีมือ และเป็นที่รับรู้ของทั้งบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ และบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร ที่งานข่าวกรองสำคัญทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งมาจาก ศรภ.

ด้วยความที่เติบโตมาจาก ศรภ. ผ่านมาทุกตำแหน่ง จนเป็น ผบ.ศรภ. ที่รู้จักกันในนาม “บ้านเลขที่ 17” ที่มีหน่วยข่าวในมือที่คุมทุกด้าน ทั้ง 12 กอง ที่ครอบคลุมทั้งในประเทศและรอบบ้าน และต่างประเทศ

จึงกลายเป็น “เจ้าพ่อข่าวสาร” ของกองทัพ ที่บิ๊กๆ มักจะใช้บริการเมื่อต้องการข้อมูลการข่าวต่างๆ แม้แต่เรื่องลับๆ และความเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ กลุ่มหมิ่นสถาบัน รวมทั้งการต่อต้านการก่อการร้าย ขบวนการค้ามนุษย์ และอาชญากรรมข้ามชาติ และการก่อความไม่สงบในชายแดนภาคใต้

ไม่แค่นั้น ยังเป็นนายทหารที่มีความรู้ด้านวิชาการ เพราะจบปริญญาเอกด้านรัฐประศาสนศาสตร์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ จบปริญญาโทรัฐประศาสนศาสตร์จากนิด้า และปริญญาโท เกียรตินิยม จากวิทยาลัยการทัพปารีส ฝรั่งเศส เป็นหัวหน้านักเรียนต่างชาติ ที่ได้จารึกนามบนโล่ด้วย จนถูกเรียกว่าเป็น “ด๊อกเตอร์เจอร์รี่”

ที่สำคัญเป็นน้องรักของ บิ๊กเต้ พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ อดีต ผบ.สส. และ บิ๊กปุย พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผบ.สส. และโดยเฉพาะ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร

ถือเป็นนายทหารที่ถูกจับตามองอีกคนของ บก.กองทัพไทย ในฐานะแกนนำเตรียมทหาร 19 ที่มีอายุราชการถึงปี 2562

พล.ท.ธนเกียรติ ชอบชื่นชม

เดิม พล.ท.ธนเกียรติ เป็นนายทหารม้านักรบ ที่โตมาจาก ม.พัน 25 สระบุรี ก่อนมาอยู่ ม.พัน 1 รอ. และ ม.พัน 29 รอ. ที่กรุงเทพฯ ก่อนไปเรียนโรงเรียนเสนาธิการทหารบก จบมาเป็นอาจารย์ ก่อนที่จะไปเป็น ผบ.กรมนักเรียนนายร้อย จปร. แล้วเดินมาในสายการข่าว เป็น ผอ.กองข่าว กองทัพน้อยที่ 1 ก่อนข้ามมาทำงานการข่าวที่ ศรภ. ตั้งแต่เป็น ผช.ผบ.ศรภ. จนขึ้นเป็น รอง ผบ.ศรภ. และเป็น ผบ.ศรภ. ที่ถูกเรียกขานว่าเป็น หัวหน้าซีไอเอ เมืองไทย

อีกทั้งใน ศรภ. ยุคนี้ ก็เป็นทีมเวิร์กสุดๆ เพราะเป็นนายทหารระดับครีมของ ตท.19 ที่เป็น รอง ผบ.ศรภ. และ ผช.ผบ.ศรภ. เช่น พล.ต.เอกพงศ์ วงศ์พรหมเมฆ พล.ต.สนธิ นวกุล พล.ต.ดนัย เถาว์หิรัญ พล.อ.ต.นพรัตน์ จรรยาสวัสดิ์ พล.ต.วันชัย ชัยประภา และ พล.ต.คณิศร สุนทรธีมากร ที่ทำให้การข่าวเป็นที่ไว้วางใจของผู้บังคับบัญชา

เพราะในยุคนี้ การข่าวกรองเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลและ คสช. นอกเหนือจากหน่วยข่าวกรองทางทหาร (ขกท.) ของ ทบ. และการข่าวของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ของ คสช. แล้ว ศรภ. ก็เป็นหน่วยข่าวกรองสำคัญ

ปกติแล้ว ศรภ. จะเป็นหน่วยที่ดูแลเรื่องรถตำแหน่งของบิ๊กๆ ในกองทัพ แต่เพราะในอดีตมีการเมืองเข้าแทรก จึงทำให้ไม่ค่อยมีการใช้ทีม รปภ. จาก ศรภ. ทั้งๆ ที่ผ่านการฝึกหลักสูตรมาโดยตรง

ในยุค “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี ก็หวาดระแวงทหาร ไม่รู้ฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน จึงใช้ตำรวจเป็นทีม รปภ. แต่พอมายุค คสช. เองก็ยังไม่ค่อยมั่นใจนัก เพราะในอดีตเคยมีนายทหารที่ใกล้ชิด “ทักษิณ ชินวัตร” เคยคุมมาหลายยุค จึงไม่ได้ใช้บริการทีม รปภ. ของ ศรภ.

แต่วันนี้ เมื่อ พล.ท.ธนเกียรติ มาคุม ศรภ. ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ก็ส่งผลให้ ศรภ. ในยุคนี้ กลับมาเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลและ คสช. จนมีการเรียกใช้บริการ รถและทีมรักษาความปลอดภัย ให้กับรัฐมนตรีทหารหลายคน

แม้ว่าทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร จะยังคงใช้ทีม รปภ. จากกองทัพบก ทั้งจากทหารเสือราชินี ร.21 รอ. และทหารรบพิเศษ และสารวัตรทหารบก ก็ตาม แต่การข่าวกรองก็ยังใช้ของ ศรภ. ร่วมด้วย

โดยเฉพาะเมื่อมีขบวนการหมิ่นเจ้าในลาว โพสต์ข้อความขู่ทำร้ายทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร หลังจากที่สั่งปราบปรามขบวนการเหล่านี้ ด้วยการประสานทางการลาวในการจับกุมตัว

พล.ท.ธนเกียรติ ก็มีส่วนในเรื่องการสืบค้นข้อมูลต่างๆ มาป้อนให้ พล.อ.ประวิตร เพราะต้องไม่ลืมว่า เขาก็คือนายทหารอีกคนหนึ่งที่เข้าออกมูลนิธิป่ารอยต่อฯ ใน ร.1 รอ. ของ พล.อ.ประวิตร อยู่เนืองๆ

แม้ว่ากระแสข่าวการลอบทำร้าย ลอบสังหาร พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร จะเงียบลงไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งไม่พบว่ามีการเพิ่มความเข้มงวดในการ รปภ. เท่าใดนักก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติ หน่วยข่าวและทีม รปภ. ก็ไม่ประมาท

เพราะอาจมีพวกมือที่สาม หรือพวกผสมโรง ฉวยสถานการณ์นี้ไปใช้ประโยชน์ทางการเมืองก็เป็นได้

ไม่ใช่แค่ ศรภ. หรือ ซีไอเอไทย เท่านั้น แต่การข่าวรบพิเศษของ พล.อ.เฉลิมชัย ผบ.ทบ. รบพิเศษ รวมทั้งการข่าวลับของ บิ๊กแดง พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะ ผบ.กองกำลังรักษาความสงบฯ กองทัพภาคที่ 1 ก็คัดกรองข่าวและความเคลื่อนไหวต่างๆ อยู่ แบบที่เรียกว่า ร่วมด้วยช่วยกัน

เพราะในยามที่ ทะเลราบเรียบ ไร้คลื่น เช่นนี้…ณ เบื้องล่าง ย่อมมีคลื่นก่อตัว อยู่เสมอ