วงค์ ตาวัน | สู่การเมืองนอกสภา

วงค์ ตาวัน

ในทางคดี เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ พ้นจากความเป็น ส.ส. ตามที่ กกต.ยื่นร้องให้วินิจฉัย กรณียังถือหุ้นสื่อบริษัทวี-ลัค มีเดียอยู่ ทุกฝ่ายก็ต้องเคารพในมติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว

แต่ในทางการเมือง ย่อมต้องมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาถึงแนวโน้มในด้านต่างๆ

ผลที่ตามมาในทางการเมืองอย่างแน่นอนก็คือ นายธนาธรจะกลายเป็นนักการเมืองนอกสภา ซึ่งอาจจะมีประสิทธิภาพส่งผลสะเทือนกว้างขวาง มากกว่าการทำงานทางการเมืองในสภาด้วยซ้ำ

“ความที่ยังเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และยืนยันจะทำงานทางการเมืองตามอุดมการณ์เป้าหมายต่อไป เท่ากับว่าจะได้เห็นการเดินหน้าการเมืองแบบนอกสภาอย่างเต็มตัวนับจากนี้”

น่าคิดว่า เมื่อไม่นานมานี้ นายธนาธรได้กล่าวปราศรัยกับมวลชนถึงสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ในขณะนี้ว่า

ความผิดของตนเองและพรรคอนาคตใหม่คืออะไร คำตอบก็คือ ไม่ใช่เรื่องหุ้นสื่อ ไม่ใช่เรื่องเงินให้พรรคกู้ แต่ความผิดก็คือ การต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คสช.

“การจุดปมประเด็นในทางการเมืองดังกล่าวนั้น น่าจะสอดรับกับความรับรู้ของผู้คนในสังคม!”

ในประเด็นทางข้อกฎหมาย เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ก็ต้องยอมรับไปตามนั้น

แต่ในทางการเมือง สิ่งที่นายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่เผชิญกับมรสุมมากมายนั้น

ทุกคนเชื่อว่า เป็นเพราะกลุ่มผู้กุมอำนาจ หวาดผวาในตัวนายธนาธรและอนาคตใหม่อย่างยิ่ง

“กลัวจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ยิ่งกว่าที่เคยกลัวทักษิณและพรรคเพื่อไทยเสียอีก”

กลุ่มอำนาจล้าหลังเคยหวาดกลัวทักษิณและเพื่อไทย เพราะสามารถครองใจมวลชนในชนบทได้อย่างมากมายกว้างขวาง โดยเฉพาะภาคอีสานและภาคเหนือ

แต่ทักษิณก็คือนักธุรกิจพ่อค้า พร้อมประนีประนอมและมียืดหยุ่นเดินหน้าถอยหลังได้

ขณะที่นายธนาธรและอนาคตใหม่ มาด้วยแนวคิดอุดมการณ์ที่ชัดเจนแหลมคมกว่า ที่สำคัญ ความเป็นคนหนุ่มมุ่งมั่นจริงจัง จะยึดมั่นในแนวทางและหลักการอย่างไม่ยอมยืดหยุ่น

รวมทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่ คนหนุ่มสาวมากมายหลายล้านเสียง รวมทั้งชนชั้นกลางในเมืองหลวงอีกด้วย

“ทำให้นายธนาธรและอนาคตใหม่ถูกจับจ้องมากกว่าทักษิณและเพื่อไทย!”

ดังนั้น เพียงแค่ก่อตั้งได้ปีเศษ เพียงแค่การเลือกตั้งสมัยแรก

ด้านหนึ่งก็มาแรงอย่างไม่มีใครคาดคิด ได้ ส.ส.เข้ามาเป็นอันดับ 3 แต่อีกด้านก็ต้องโดนกระทำทุกวิถีทาง จนทำให้นายธนาธรยังไม่สามารถเข้าไปนั่งในสภาได้แม้แต่วันเดียว

อีกทั้งยังมีอีกหลายคดีที่ยังไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นอีกกับนายธนาธรและอนาคตใหม่

กล่าวกันว่า เพราะพรรคอนาคตใหม่ไม่ใช่แค่พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง แต่ยังมีลักษณะของการอยู่ร่วมกับกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม มีนักคิดนักกิจกรรมต่างๆ เข้ามาร่วมทำงานอยู่ในพรรคนี้มากมาย

ดังจะเห็นได้จากการเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับกระแสสนับสนุนในตอนเลือกตั้งอย่างล้นหลาม ทั้งที่ไม่ได้มีระบบจัดตั้งแบบพรรคการเมืองในระบบปกติทั่วไป ไม่มีหัวคะแนน ไม่มีการใช้จ่ายเงินทอง ไม่มีนายทุนกลุ่มทุนอยู่เบื้องหลัง

“ประเด็นนี้เองที่ทำให้ปัญหาที่นายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ต้องเผชิญ สามารถพลิกกระแสให้กลายเป็นปัญหาทางอุดมการณ์การเมืองได้ง่ายๆ”

สามารถยกระดับจากปัญหากฎหมาย กลายเป็นปัญหาการเมืองได้ไม่ยาก

“อีกทั้งการยิ่งถูกทุบตีมากเท่าไร ก็อาจจะยิ่งทำให้พรรคนี้ยิ่งขยายตัวเติบโตมากขึ้น!”

แล้วยิ่งในวันนี้ เมื่อหัวหน้าพรรคต้องพ้นจากสถานะ ส.ส. กลายเป็นนักการเมืองนอกสภา ก็อาจจะยิ่งทำให้หัวหอกของพรรคนี้เข้าร่วมอยู่กับกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในแวดวงต่างๆ ได้อย่างกลมกลืนมากขึ้นไปอีก

เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ ในบ้านเมืองได้กว้างขวางมากขึ้น

แถมเป้าหมายของอนาคตใหม่ก็คือ การสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นกว่านี้ ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองและในบ้านเมืองให้ชัดเจนกว่านี้

“ยืนยันว่าไม่ขออยู่เป็น คือไม่ยอมจำนนอยู่กับสภาพเดิมๆ แต่ขออยู่ไม่เป็น คือไม่เออออห่อหมกไปกับสิ่งเก่าๆ”

การเมืองของอนาคตใหม่นั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภายในสภาและแค่การเลือกตั้งเท่านั้น

ดังนั้น การหยุดนายธนาธรไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ในสภาได้อีกต่อไป ก็เหมือนการปล่อยนายธนาธรให้เดินเข้าหามวลชน ทำการเมืองนอกสภาได้อย่างเต็มตัว

น่าจะทำให้แนวรบนอกสภาของอนาคตใหม่ยิ่งคึกคักเข้มข้นและตรงเป้าหมายมากขึ้นอีก!

คดีหุ้นวี-ลัคฯ อาจจะส่งผลให้นายธนาธรสิ้นสุดความเป็น ส.ส. ไม่มีการตัดสิทธิ์ทางการเมืองและยังไม่มีโทษในด้านอื่นๆ แต่ก็ต้องดูกันต่อไปว่า กกต.จะนำผลคดีนี้ไปยื่นฟ้องต่อในศาลอื่นเพื่อส่งผลทางอาญาอีกหรือไม่ โดยเฉพาะโทษตัดสิทธิ์ทางการเมือง และโทษจำคุก

เมื่อรวมกับคดีอื่นๆ อีกกว่า 20 คดีที่แกนนำอนาคตใหม่ยังต้องต่อสู้ต่อไป ก็ยังไม่รู้ว่าชะตากรรมของแกนนำและพรรคนี้จะลงเอยเช่นไร

แต่ต้องไม่ลืมว่า นี่คือกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีพลังแรงกล้า มีความมุ่งมั่นจริงจังในแนวคิดอุดมการณ์

“ดังนั้น เมื่อเจอมรสุมจากกลุ่มผู้มีอำนาจมากเท่าไร ก็อาจจะยิ่งฮึกเหิมต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวมากขึ้นเท่านั้น”

แล้วต้องไม่ลืมว่า พรรคนี้ไม่ใช่แค่พรรคการเมืองเหมือนพรรคอื่นๆ แต่กลมกลืนกับกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมและทางการเมือง

“ดังนั้น การยุบพรรคหรือการลงโทษไม่ให้เข้าสภา ไม่สามารถปิดกั้นหรือหยุดยั้งคนเหล่านี้ได้”

นักวิเคราะห์การเมืองมองว่า กลุ่มอำนาจล้าหลังยังคงไม่สรุปบทเรียนการเมืองไทย หลังจากเข้ามาจัดการล้มทักษิณและพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2549

นั่นคือ ยังพยายามใช้ทุกกลไก ใช้ทุกความได้เปรียบที่มีอยู่มาครอบครองอำนาจเอาไว้ในมือฝ่ายเดียว กีดกันขับไล่ฝ่ายอื่น ถ้าทำได้ก็จะไม่ยอมให้ฝ่ายตรงข้ามมีที่ยืนในทางการเมืองแม้แต่ตารางนิ้วเดียว

รวมๆ คือ ไม่ยอมรับกติกาประชาธิปไตย ที่เป็นระบบซึ่งเปิดโอกาสให้ทุกขั้วความคิดสามารถตั้งพรรคการเมืองเพื่อต่อสู้กันอย่างสันติในเวทีสภา แล้วให้ประชาชนตัดสินในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง ซึ่งสามารถพลิกกระแสแพ้-ชนะกันได้ตลอด

“แต่ยังเป็นเผด็จการแฝงประชาธิปไตย ใช้ความ “มีเส้น” เข้ามาเล่นงานฝ่ายอื่น อย่างไม่เคยสรุปบทเรียนและยอมรับความจริง!!”

ล้มทักษิณไปเมื่อปี 2549 ขับไล่ไม่ให้อยู่ในแผ่นดินไทย ปรากฏว่าทักษิณมีอิสรเสรีไปได้ทุกที่ในโลก แถมมีคดีทุจริตมากมาย แต่ไม่เคยมีประเทศไหนร่วมมือจับตัวส่งมาให้ เพราะทั่วโลกมองว่าเป็นปัญหาทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องคดีคดโกง

ข้อสำคัญ กระแสความนิยมของประชาชนที่แสดงผ่านการเลือกตั้งก็ไม่ได้ตกหรือลดน้อยลง

“ต่อมาในปี 2557 ก็ต้องล้มยิ่งลักษณ์อีกรอบ แล้วทุกอย่างก็ไม่ต่างจากตอนเล่นงานทักษิณ”

เพียงแต่เมื่อมีนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นมาและแรงยิ่งกว่า ก็เลยกลายเป็นเป้าหมายใหม่ ที่ฝ่ายอำนาจเก่าหวาดผวายิ่งกว่าทักษิณและยิ่งลักษณ์

แต่ก็เล่นงานกันแบบไม่ยอมสรุปบทเรียนที่ผ่านมากว่าสิบปีเลย ว่าทำให้ปัญหาวนเวียนไป-มาไม่เคยจบสิ้น

ที่สำคัญคือ ทำให้บ้านเมืองจมปลักไม่พัฒนาก้าวหน้าไปไหนเลย!