ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ : La La Land ขยี้แจ๊ซและคนผิวสี ในยุคคนขาวยึดอเมริกา

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon
LLL d 29 _5194.NEF

แจ๊ซในยุคก่อนทศวรรษ 1970 มีประพันธกรผู้ยิ่งใหญ่อย่างน้อยสี่ราย และในบรรดาเสาหลักที่ประกอบด้วย ชาร์ลี ปาร์กเกอร์, ไมลส์ เดวิส, เธโลเนียส มังก์ และ จอห์น โคลเทรน

ไมลส์เป็นคนที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในแง่ลบและแง่บวกมากที่สุด ต่อให้ไมลส์จะประสบความสำเร็จจนเป็นที่รู้จักของผู้ฟังนอกวงการแจ๊ซกว้างขวางกว่าผู้ยิ่งใหญ่อีกสามคนก็ตาม

ไมลส์มีผลงานอย่างน้อยสองชุดที่โด่งดังแต่ทำให้ผู้ฟังมีปฏิกิริยาแตกต่างกัน

งานชุด Kind of Blue ออกมาในปี 1959 ทำให้เขาถูกยกย่องว่าเป็นผู้ให้กำเนิด Modal Jazz ที่การดำเนินคอร์ดอย่างชัดเจนสำคัญน้อยลง ใช้จังหวะเสียงประสานที่ช้าขึ้น โน้ตเสียงค้าง และบางคอร์ดอาจเล่นยาวถึง 16 ห้อง

ซึ่งทั้งหมดช่วยให้นักดนตรีแสดงคีตปฏิภาณได้มากกว่าเดิม

ไมลส์ปล่อยงานชุด Bitches Brew หลังจากนั้นสิบเอ็ดปี แต่ขณะที่ตัวงานขายดีจนถูกประเมินว่าทำให้แจ๊ซกลับมาเกิดใหม่ในอุตสาหกรรมดนตรีเช่นเดียวกับการให้กำเนิดสิ่งที่เรียกว่า Fusion Jazz ในภายหลัง

คนในวงการแจ๊ซบางกลุ่มกลับโจมตีว่าไมลส์ในงานนี้เอาเครื่องดนตรีไฟฟ้าและขยะทางการตลาดเข้าสู่แจ๊ซจนทำลายความบริสุทธิ์ของแจ๊ซเสียไป

ปี1980 วงการแจ๊ซเกิดกระแสดนตรีที่เรียกว่า Neo-bop ซึ่งต้องการลดความเป็นฟิวชั่นและเครื่องดนตรีไฟฟ้าลงและดึงแจ๊ซกลับไปมีศูนย์กลางที่สะวิง, เสียงอะคูสติก และระบบโทนาลิตี้แบบบลูส์ให้มากขึ้น

อาร์ต แบล็กกี สำคัญในยุคเริ่มต้นของแจ๊ซกลุ่มนี้ และในยุคนี้ก็ไม่มีทางปฏิเสธได้ว่าสถานะของ วินตัน มาร์ซาลิส คือสัญลักษณ์ว่าภูมิทัศน์แจ๊ซอยู่ภายใต้แนวทางนี้แล้วค่อนข้างสมบูรณ์

ในช่วงที่แจ๊ซกลุ่มนีโอบ๊อปเริ่มก่อตัวขึ้น หนึ่งในข้อถกเถียงที่โดดเด่นที่สุดคือความเชื่อว่าแจ๊ซยุคก่อน ค.ศ.1965 นั้นรุ่งเรืองเทียบได้กับยุคแสงสว่างทางภูมิปัญญาในอารยธรรมตะวันตก

พระเจ้าคือ ชาร์ลี ปาร์กเกอร์ ผู้ทำให้เกิดบีบ๊อปที่เต็มไปด้วยความรวดเร็วและแสดงทักษะชั้นสูง, คือ เธโลเนียส มังก์, คือ จอห์น โคลเทรน

แต่ไม่มีที่ว่างให้กับไมลส์โดยเฉพาะงานยุคหลังปีนั้นแน่นอน

 

ปี2016 La La Land เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ “รางวัล” ไม่กี่เรื่องที่ได้รับคำชื่นชมทั้งจากนักวิจารณ์และผู้ชมวงกว้าง

นักวิจารณ์ชื่นชมความสามารถในการสร้างภาพจำและความแม่นยำด้านประวัติศาสตร์ภาพยนตร์

ส่วนผู้ชมทั่วไปก็ชื่นชอบความเป็นหนังเพลงที่ตัวละครรักศิลปะด้านดนตรีและการแสดงยิ่งชีวิต

หรือพูดง่ายๆ การไล่ตามความฝันในรูปหนังเพลงและการเต้นรำ

อย่างไรก็ดี La La Land ในแง่ประวัติศาสตร์ดนตรีแจ๊ซคือขยะ

ไม่ต้องพูดถึงในแง่การเมืองวัฒนธรรมของผิวสีและความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ใครซึ่งพอรู้เรื่องอเมริกาบ้างก็ต้องยอมรับว่ามันคือแกนกลางของการเมืองอเมริกา

ภาพยนตร์เรื่องนี้มีตัวละครหลักคือเซบาสเตียนหรือ “เซ็บ” ซึ่งแสดงโดย ไรอัส กอสลิงก์ และมีอา ซึ่งแสดงโดย เอ็มมา สโตน

แต่ขณะที่สโตนอัดพลังการแสดงจนมีชัยเหนือบทภาพยนตร์ที่ไม่ทำให้มีอาโดดเด่นเท่ามีอาที่สโตนแปรเป็นภาพเคลื่อนไหว

เซ็บกลับเป็นตัวละครที่น่าเบื่อ ทึ่ม ไร้พลัง และเอาแต่พร่ำเพ้อเรื่องแจ๊ซบนมุมมองจากซากเดนความคิดแบบคนขาวหลงตัวเอง

กอสลิงก์ในเรื่องนี้เล่นเป็นเซ็บซึ่งเป็นนักเปียโนและเจ้าของแจ๊ซบาร์ซึ่งลุ่มหลงในดนตรีแจ๊ซ

หนังจะโชว์อย่างไม่บันยะบันยังว่าเขาตั้งชื่อบาร์ตามสมญาของ ชาร์ลี ปาร์กเกอร์, หวงเก้าอี้บาร์ของ โฮกี้ คาร์ไมเคิล, เล่น Japanese Folk Song ของ เธโลเนียส มังก์ และรังเกียจที่จะร่วมวงแจ๊ซที่เต็มไปด้วยเครื่องดนตรีไฟฟ้าทั้งวง

ผู้กำกับฯ La La Land ใช้ทักษะทางภาพยนตร์ทั้งหมดเล่าเรื่องให้คนดูรู้สึกว่าเซ็บคือชายหนุ่มผู้มุ่งมั่นในวิถีแจ๊ซระดับ Alone in the World

เราจะเห็นภาพเขาลอบเล่นแจ๊ซอย่างโดดเดี่ยวในภัตตาคารที่เปียโนเป็นเพียงเสียงประกอบการกินของผู้มีรสนิยมชีวิต

เขาเป็นคนเดียวบนทางด่วนที่ฟังแจ๊ซ มีความสุขกับดนตรีแจ๊ซแท้ๆ แบบบีบ๊อป

และในที่สุดเขาก็เปิดบาร์แจ๊ซอย่างที่ใฝ่ฝันมานาน

 

ไม่มีอะไรในหนังที่จะทำให้ผู้ชมถึงจุดสุดยอดอย่างลึกซึ้งได้เท่าเรื่องคนตัวเล็กๆ ที่ต่อสู้ท่ามกลางอุปสรรคจนประสบความสำเร็จได้อีกแล้ว – ข้อนี้คนทำหนังกระแสหลักและหนังโฆษณาทุกคนรู้ดี

บทสนทนาที่เป็นเสมือนคำประกาศของผู้กำกับฯ ว่าด้วย “แก่น” ของหนังปรากฏเมื่อเซ็บซ้อมดนตรีกับเพื่อนคนดำชื่อคีธ ผู้ชมรู้อยู่แล้วว่าเซ็บเล่นเปียโนอะคูสติกแจ๊ซ และผู้กำกับฯ จะทำให้ผู้ชมเห็นต่อไปว่าเซ็บเก่งจนเล่นเปียโนไฟฟ้ากับฟิวชั่นแจ๊ซของคีธได้อย่างดี แต่เซ็บบอกคีธหลังซ้อมว่าเขาไม่มีความสุขกับดนตรีแนวนี้

ส่วนคีธจะยอมรับว่าเซ็บเป็นนักเปียโนดีที่สุดที่เขาเคยเจอ

ในหนังเรื่องนี้ เซ็บออกจากอะคูสติกแจ๊ซไปสู่ฟิวชั่นแจ๊ซเพราะกลัวแม่แฟนมองว่าถังแตก และเซ็บออกจากฟิวชั่นแจ๊ซทันทีที่เขาเก็บเงินมากพอจะเปิดบาร์แจ๊ซเอง พูดอีกอย่างคือเซ็บเข้าฟิวชั่นแจ๊ซเพราะเงิน ฟิวชั่นเป็นเพียงทางผ่านสู่ชีวิตแห่งแจ๊ซของจริง

 

ในฉากแสดงคอนเสิร์ตกับวงคีธ เราจะเห็นภาพเซ็บเล่นคียบอร์ดเรืองแสงด้วยลีลาไม่ต่างจาก พงษ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา แฟนๆ ชื่นชอบเซ็บ แต่เซ็บไม่มีท่อนโซโลให้แสดงฝีมือเปียโน เขาเป็นเพียงส่วนประกอบของวงฟิวชั่นแจ๊ซซึ่งในที่สุดกลายเป็นริธึ่มแอนด์บลูส์ที่จบด้วยนักเต้นหญิงโยกเอวขวางเซ็บจากสายตาคนดู เซ็บสำคัญต่อโชว์เท่ากับคอรัส แสงสี และควันประกอบเวที

ณ จุดที่แย่ที่สุดของหนัง ผู้กำกับฯ กลัวคนดูจะไม่เคลิบเคลิ้มว่าฟิวชั่นแจ๊ซคือขยะจนต้องยืมสายตาและปากมีอาประกาศกับผู้ชมว่าเซ็บไม่มีความสุขกับดนตรีแนวนี้แม้แต่นิดเดียว

และราคาของการละทิ้งความฝันคือเซ็บทำบ้านแตกจนความสัมพันธ์คู่นี้สั่นคลอน

La La Land หมกมุ่นกับประเด็นเรื่องอะไรคือดนตรีแจ๊ซที่แท้ และในการปลุกปั่นให้คนดูเคลิบเคลิ้มไปกับมนตราของหนังว่าด้วยชายหนุ่มผู้วิ่งตามความฝันจนประสบความสำเร็จ

หนังบอกว่าแจ๊ซแบบจารีตประเพณีคือแจ๊ซที่แท้ และคนขาวอย่างเซ้บนั้น “จริง” ต่อแจ๊ซที่แท้มากกว่าคนดำอย่างคีธซึ่งทำให้แจ๊ซไม่ต่างจากเพลงในลิฟต์, เปียโนประกอบร้านอาหาร หรือ เคนนี่ จี

ถึงตรงนี้ หนังเอารสนิยมทางดนตรีไปปนกับประเด็น Authenticity ความถนัดทางดนตรีถูกบิดเบี้ยวเป็นปัญหาอุดมการณ์ที่ยุคหนึ่งพวกนีโอบ๊อปทำราวกับว่าใครไม่เล่นสะวิง ใครไม่เล่นบีบ๊อป และใครที่เดินตามไมลส์ใน Bitches Brew คือพวกต่ำต้อยทางศีลธรรม

 

La La Land เล่าเรื่องเซ็บเพื่อโฆษณาความเชื่อเรื่องแจ๊ซซึ่งล้าหลังเมื่อเทียบกับแจ๊ซในโลกปัจจุบันที่มือเปียโนและประพันธกรที่จะเป็นเสาหลักของแจ๊ซอย่าง โรเบิร์ต กลาสเปอร์ เอา Maiden Voyage ของ เฮอร์บี้ แฮนค็อก มาเรียบเรียงใหม่บนฐานของ Radiohead, งานสำคัญอย่าง Black Radio ใส่นีโอโซลกับฮิปฮ็อป และตอนนี้กลาสเปอร์ไปไกลขนาดร่วมงานกับเจ้าพ่อฮิปฮอปอย่าง Jay-Z

เป็นเรื่องเขลามากหากใครสักคนจะฟังกลาสเปอร์เล่นแจ๊ซแล้วด่าแบบที่คนทำ La La Land คงอยากด่าว่าแกมันทำลายแจ๊ซของจริง

Esperanza Spalding เป็นแจ๊ซแน่ๆ แต่ก็เป็นอีกคนที่โยนอะไรต่อมิอะไรจากทุกขนบดนตรีจนบีบ๊อปในแจ๊ซแทบหายไปหมด ส่วนใครจะบอกว่านี่ไม่ใช่งานแจ๊ซก็เหลวไหลมาก เพราะสิ่งที่กลาสเปอร์และสปาลดิงก์ทำคือทำให้แจ๊ซขยายตัว เข้าสู่คนฟังมากขึ้น เป็นขนบดนตรีที่มีพรมแดนกว้างขวางขึ้น และไม่ถูกแน่ที่จะมองว่าแจ๊ซคือการผลิตซ้ำดนตรีที่แท้ซึ่ง La La Land บอกคนดู

ภาพยนตร์เรื่องนี้สาดโคลนให้คนดำอย่างคีธเป็นปฏิกูล แต่คีธพูดถูกว่าแจ๊ซคือวิวัฒนาการ แจ๊ซไม่ได้มีแค่ด้านที่เป็นจารีต และที่ตลกที่สุดเซ็บผู้พร่ำเพ้อถึงแจ๊ซที่แท้กลับเล่นแต่เพลงซึ่งไม่ใช่ Free Jazz แต่อย่างมากคือ Liberace หรืออย่างดีคือ Eddy Duchin ซึ่งเป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์มากกว่าแจ๊ซแมน