ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 พฤศจิกายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ก่อสร้างและที่ดิน |
เผยแพร่ |
ภาวะเศรษฐกิจและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ ยังคงเดินหน้าสู่จุดต่ำสุดต่อไป
ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทอสังหาฯ รายใหญ่ที่มีต้นทุนดำเนินการต่ำสุด มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำสุดยังต้องเอ่ยปากเป็นครั้งแรกว่า เหนื่อยสุดตั้งแต่หลังวิกฤตปี 2540 เป็นต้นมา
งานยากสุดในขณะนี้คือ การเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ การตอบรับจากตลาดจะแผ่วเบามาก ส่วนใหญ่ยอดจองมักไม่ถึงเป้าหมาย ซึ่งหมายถึงการจะทำยอดจองให้ถึงเงื่อนไขที่ธนาคารจะให้สินเชื่อก่อสร้างในด่านถัดไปไม่ใช่เรื่องง่าย
การขายคอนโดฯ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ก็ยากไม่แพ้กัน
แม้แต่ห้องชุดสร้างเสร็จส่วนที่เหลือขาย นำมารณรงค์ขายใหม่ ก็ไม่ใช่งานง่าย จึงเป็นเหตุให้ส่วนใหญ่ลงมือลดราคาในรูปแบบต่างๆ กันทั่วทั้งตลาด ตามระดับความจำเป็นของแต่ละโครงการ และแต่ละบริษัท
นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหม่ที่เตรียมตัวจะเปิดคอนโดฯ โครงการใหม่ จึงถูกนักพัฒนาอสังหาฯ รุ่นเก่าห้ามกันเสียงหลง ให้ใจเย็นรอดูสถานการณ์สักพัก
การปรับตัวของด้านซัพพลายหรือบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ในขณะนี้
หนึ่ง เร่งระบายสต๊อกห้องชุดสร้างเสร็จเหลือขาย กลับมาให้เป็นเงินให้เร็วที่สุด ในระดับที่เกิดความเสียหายน้อยที่สุด
สอง การปรับโปรดักต์ จากโครงการคอนโดมิเนียมมาเป็นโครงการแนวราบ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ที่มีการชะลอตัวของตลาดน้อยกว่า แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้รวดเร็ว เพราะโครงการแนวราบทำยากกว่าโครงการแนวสูงเพราะมีรายละเอียดการบริหารจัดการมากกว่า ใช้กำลังคนมากกว่า และที่สำคัญต้องทำแนวราบหลายโครงการจึงจะได้ยอดขายให้เท่ากับโครงการแนวสูงโครงการเดียว
สาม ชะลอหรือหยุดการเปิดตัวโครงการใหม่โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม
สี่ การขายที่ดินเปล่า หรือขายโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการที่มียอดจองต่ำออกไป เพื่อลดภาระหรือลดหนี้
ทิศทางการปรับตัวดังกล่าว ทำให้การเคลื่อนไหวในตลาดการซื้อขายที่ดินเปล่าชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะบริษัทอสังหาฯ เป็นผู้ซื้อที่ดินเปล่ากลุ่มใหญ่ที่สุดในตลาด ขณะนี้ในบางจุดบางทำเลในกรุงเทพฯ ชั้นในถึงกับมีการลดราคาเสนอขายลงมาเพื่อต้องการขายที่ดิน
แต่ก็ยังไม่เป็นผลเพราะนักพัฒนาอสังหาฯ หยุดการซื้อ
เวลาเดียวกัน การรับรู้ปัญหาและการปรับตัวของภาครัฐ ก็เริ่มมีบ้าง แต่ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน
การออกมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมโอนและค่าธรรมเนียมจำนองลง ซึ่งเป็นมาตรการทางการคลัง ทำให้ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยลดภาระค่าธรรมเนียมไปหลายหมื่นบาท ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่จองซื้อและผ่อนดาวน์อยู่แล้วได้รับประโยชน์ แต่คงไม่ช่วยให้เกิดความต้องการซื้อใหม่นัก
เพราะผู้ซื้อยังต้องผ่านอุปสรรคยื่นก็ธนาคารให้ผ่าน ยังมีมาตรการการเงิน LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นมาตรการทางการเงิน ควบคุมอย่างเข้มงวด
ไม่เพียงแต่มาตรการการเงินกับการคลังไปคนละทาง ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่จะเข้ามาซ้ำเติมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อาทิ
การออกหุ้นกู้ที่ไม่กำหนดระยะเวลาชำระคืน ซึ่งที่ผ่านมาการลงบัญชีจะถือว่าเป็นส่วนทุน แต่จากนี้ไปหน่วยงานกำกับของรัฐจะเปลี่ยนใหม่ ให้นับเป็นส่วนของหนี้ ต้องลงบัญชีเป็นส่วนหนี้
การเช่าที่ดินระยะยาวหรือ “เซ้ง” ที่ดิน เช่น เซ้ง 30 ปี ที่ผ่านมาค่าเซ้งคือเป็นรายจ่ายที่ต้องทยอยจ่ายไปในระยะเวลา 30 ปีที่เช่า แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงให้มีการบันทึกเป็นหนี้
ผลที่จะตามมาก็คือ บริษัทอสังหาฯ ต่างๆ ที่มียอดจองยอดโอนชะลอตัวลง มีภาวะสต๊อกสินค้าคงเหลือมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ จะทำให้มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการตีความการบันทึกบัญชีใหม่ข้างต้น
จะทำให้สัดส่วนหนี้บริษัทอสังหาฯ ก็เพิ่มขึ้นมาอีกโดยอัตโนมัติ
เหมือนกับว่าหน่วยงานต่างๆ ของรัฐไม่รู้ว่าภาวะเศรษฐกิจของประเทศ สภาพธุรกิจและปากท้องของคนในประเทศเป็นอย่างไร หน่วยงานไหนเห็นว่าอะไรต้องทำก็ทำกันไปตามหน้างานของตัวเอง ไม่รู้ผลอะไรจะตามมา
อสังหาฯ กำลังซวนเซ เลย…ทืบซ้ำซะเลย