วิเคราะห์ | วิวาทะ #อยู่ไม่เป็น กระหึ่มโซเชียล ฝ่ายตรงข้าม ดาหน้าสวด โยงปูทางชวนคนลงถนน

หลังจากที่ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เป็นผู้นำปักธงจุดกระแส ติดแฮชแท็ก #อยู่ไม่เป็น พร้อมภาพคำว่าอยู่ไม่เป็นตัวโตๆ ชัดๆ อักษรสีขาวบนพื้นสีดำ โพสต์ลงไปใน Facebook และ Twitter บอกเพียงสั้นๆ ให้รอดูวันที่ 16 พฤศจิกายน สร้างความงุนงงในโลกโซเชียลว่าธนาธรโพสต์อะไร

จากนั้นแกนนำของพรรค รวมถึง ส.ส.ของพรรคหลายคนก็ทยอยโพสต์แฮชแท็กดังกล่าว โดยเริ่มอธิบายว่าที่อยู่ไม่เป็นหมายถึงอะไร

เริ่มจาก กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ รองหัวหน้าพรรค ที่ชี้แจงว่า “เราถนัดทำงาน ถนัดเปลี่ยนแปลงประเทศ แม้มันอาจจะหมายความว่า #อยู่ไม่เป็นบ้างในบางกรณี แต่เรายังยืนยันว่างานต้องทำ การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยเพื่อคนรุ่นต่อไปยังต้องเดินหน้า เราจะเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ”

ต่อด้วย พรรณิการ์ วานิช โฆษกของพรรค ที่ระบุว่า “อนาคตใหม่ไม่ถนัดเอาตัวรอด ไม่เชี่ยวชาญหมากล้อมเก็บแต้มการเมือง เรารู้แต่ว่าเราสร้างพรรคเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้คนไทยเท่าเทียมกัน พาประเทศไทยเท่าทันโลก ยุติรัฐประหารซ้ำซาก ถ้าไม่ทำทั้งหมดนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมี “อนาคตใหม่””

ชัดเจนสุด เห็นจะเป็นสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ที่กล่าวว่า “พวกเราพรรคอนาคตใหม่แค่อยากมีส่วนร่วมกับการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เราเชื่อว่าดีกับสังคมโดยรวม แน่นอนครับ เราไม่ได้ถือปืนมาสั่งให้คุณเชื่อตามเรา แต่เราเล่นตามกติกาประชาธิปไตย เราแค่อยากให้ประชาชนมีความหวัง มีที่พึ่ง มีทางเลือก หรือว่าที่พวกเรากำลังโดนกระหน่ำอยู่ เพียงเพราะว่าพวกเรา “อยู่ไม่เป็น” ครับ รอพบกับพวกเราพรรคอนาคตใหม่ 16 พฤศจิกายนนี้ แล้วท่านจะทราบว่าทำไมพวกเราจึงไม่ยอมอยู่เป็น”

ต้องย้ำว่าข้อความชี้แจงของทั้ง 3 คนนั้น แม้จะไม่ได้บอกว่าวันที่ 16 พฤศจิกายน จะมีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ได้ชี้ชัดถึงเป้าหมายของการจัดงานอย่างชัดเจนแล้ว โดยทั้ง 3 ข้อความถูกโพสต์ในวันเดียวกัน คือตั้งแต่วันแรกที่มีการรณรงค์

หมายความว่า ถ้าอยากเข้าใจเป้าหมายของการจัดงาน อ่านแล้วก็สามารถเข้าใจได้ตั้งแต่แรกไม่ต้องตีความ เรื่องนี้ก็ได้ยินมาแล้วอยู่บ่อยๆ แต่ถ้าอยากจะตีความ ถอดรหัส ก็สามารถทำได้อีก เพราะยังไม่รู้ว่าอนาคตใหม่จะทำอะไร หรือเป็นความจงใจให้ตีความหรือไม่ก็ไม่อาจทราบได้

จึงถูกกระแสตอบโต้ทันที นำมาด้วยคู่ปรับหลัก อดีตแคนดิเดตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อย่างหมอวรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลกคนดัง ซึ่งพ่ายแพ้ให้กับพรรคอนาคตใหม่ ออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างฟันธงว่าการจัดกิจกรรม #อยู่ไม่เป็น คือการจัดระดมมวลชน เพื่อต่อรองผลคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 20 พฤศจิกายน

“เมื่อคิดว่าตัวเองไปไม่รอดแน่ พวกคุณก็ออกมาโวยวายว่าถูกกลั่นแกล้ง และพยายามปลุกระดมว่า “อยู่ไม่เป็น” ผมเชื่อว่าคนไทยจำนวนมากเริ่มจะเอือมระอา”

“สิ่งที่ต้องช่วยกันระมัดระวังคือการใช้ความรุนแรง เพราะเสื้อยืดสีสัญลักษณ์ เป็นสิ่งที่ อยู่.ไม่.เป็น. เอากระแสมาจากม็อบชังชาติของฮ่องกงมาสร้างกระแสร่วม หวังให้ฝรั่งเข้ามาช่วย ดังนั้น ผู้มีอำนาจหน้าที่ ต้องเรียนรู้ประสบการณ์จากชายชุดดำในอดีต #อยู่ไม่เป็นก็ไม่ต้องอยู่”

นพ.วรงค์กล่าว

ออกทะเลไปจนถึงม็อบฮ่องกง ทำให้ปดิพัทธ์ สันติภาดา หรืออ๋อง ส.ส.พิษณุโลก พรรคอนาคตใหม่ รีบออกมาตอบโต้ว่า การเมืองที่อยู่ไม่เป็น คือการเมืองที่ไม่ได้ทำแบบเดิม ไร้จุดยืน ตระบัดสัตย์เพื่อเอาตัวรอด

“เราจะปฏิเสธอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชน เพราะเชื่อว่านี่เป็นทางที่จะทำให้ประชาชนมั่นใจ วางใจ และเชื่อใจผู้แทนของพวกเขาว่าจะต่อสู้เพื่อพวกเขาอย่างสัตย์ซื่อ แม้อำนาจที่ทั้งหอมหวานและน่ากลัวจะเล่นงานเราอย่างไม่ลดละ วาทกรรมที่ยัดเยียดเข้ามาว่าเราชังชาติ ไล่เราออกนอกประเทศ บอกว่า “อยู่ไม่เป็นก็ไม่ต้องอยู่” ไม่ได้ทำให้เราท้อแท้ หวั่นไหว และเลิกราไปแบบที่พวกเขาต้องการ มันเป็นเพียงแค่ทัศนคติของการเมืองเก่าที่กำลังหมดสมัยไปครับ” นายปดิพัทธ์กล่าวตอบโต้

หรือจะเป็น ธันวา ไกรฤกษ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่มองว่านี่เป็นละครการเมืองฉากสุดท้าย พร้อมเย้ยว่าขอให้รอดูว่านายธนาธรจะพากองเชียร์ลงถนนเหมือนที่คาดหวังไว้หรือไม่

ไปไกลที่สุดในกรณีนี้ เรียกว่าไปไกลกว่าหมอวรงค์ เห็นจะเป็นท่านใหม่ ม.จ.จุลเจิม ยุคล ผู้ที่เคยถูกพรรคอนาคตใหม่ฟ้องหมิ่นประมาท โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กหลังเกิดเหตุบุกยิงชุด ชรบ.ที่จังหวัดยะลา ระบุว่า “จะอยู่เป็นหรือไม่ นั้นเป็นวาทกรรมที่พวกคุณสร้างขึ้นมา และเรื่องของพวกคุณเท่านั้น แต่ถ้าปลุกปั่นกันจนเกิดมีชาวบ้าน ทหาร ตำรวจ และอาสาสมัคร ได้รับบาดเจ็บ ล้มตายกัน คงอยู่ร่วมแผ่นดินกันไม่ได้ แม้จะอยู่ไม่เป็น หรืออยู่เป็น”

กลายเป็นว่า ทำไปทำมา อยู่ไม่เป็น ของอนาคตใหม่ ถูกโยงไปตั้งแต่ม็อบฮ่องกง จนถึงเหตุบุกยิงครั้งใหญ่ของจังหวัดยะลา

กัลยาณมิตรอย่างณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ออกมาแนะนำพรรคอนาคตใหม่ว่า

“สถานการณ์ของพรรคอนาคตใหม่อยู่ท่ามกลางมรสุมทางการเมืองทุกทิศทุกทาง อย่าว่าแต่พรรคตั้งใหม่เลย ทั้งเก่าทั้งใหญ่อย่างไทยรักไทย พลังประชาชน หรือแม้กระทั่งเพื่อไทย ก็ไม่ใช่ว่าจะรับมือได้ง่ายๆ ผมคิดว่านอกจากอยู่เป็นหรืออยู่ไม่เป็น พรรคอนาคตใหม่น่าจะคิดต่ออีกหน่อย คือคิดว่าจะทำยังไงจึงอยู่ยาว”

หรือ ศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นว่า ส่วนตัวคิดว่ามีความน่าเป็นห่วงว่าพรรคอนาคตใหม่อาจไปไม่รอด อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความแน่นอน สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้ตนนึกถึงวลีเก่าๆ ของหลวงวิจิตรวาทการซึ่งถูกใจคนรุ่นเก่า ที่ว่า “จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน” เนื่องจากพรรคอนาคตใหม่ โดยเฉพาะธนาธร, ปิยบุตร และพรรณิการ์ ดูเหมือนจะโดดเด่นเกินไป

“อย่า underestimate (ประเมินค่าต่ำ) ผู้ปกครองเดิมๆ เพราะว่า statecraft (ศิลปะการปกครองประเทศ) ของพวกเขาและเธอนั้น ลึกล้ำเหลือ”

ศ.ดร.ชาญวิทย์ยกคำกล่าวของนายสุวัฒน์ วรดิลก นักหนังสือพิมพ์ชื่อดัง นามปากกา “รพีพร” ซึ่งเคยปรารภในงานสมาคมธรรมศาสตร์เมื่อนานมาแล้วมาฝากไว้ให้คิด

เพื่อป้องกันการวิพากษ์วิจารณ์ไปไกล พล.ท.พงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้ชี้แจงถึงแคมเปญนี้ว่า จัดขึ้นเพื่อแสดงจุดยืนของพรรคที่ไม่สยบยอมต่อความไม่ถูกต้อง และการถูกบังคับให้เชื่อฟังผู้มีอำนาจ ยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งในการต่อต้านกระแสพรรคอนาคตใหม่จะถูกยุบพรรค

ตามด้วยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ยืนยันว่า ไม่มีนัยยะต่อคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินในวันที่ 20 พฤศจิกายน เพราะเป็นกิจกรรมของพรรคที่จัดประจำ ส่วนเรื่องกระบวนการตัดสินในศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไร คงไม่อาจไปก้าวก่ายได้ เนื่องจากไม่มีอำนาจ

ท้ายสุด พรรคอนาคตใหม่นำโดยโฆษกพรรคก็ต้องตั้งโต๊ะแถลงข่าวเรื่องนี้ ยืนยันว่าการจัดงานอยู่ไม่เป็น มีความหมายง่ายๆ ตรงไปตรงมา

“อนค.เราเชื่อว่าอยู่ไม่เป็นเท่านั้นที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้ การอยู่เป็นอาจจะทำให้เราอยู่สบาย อยู่ไปกับปัญหาโดยที่ไม่แก้อะไร แต่เราก็จะส่งต่อสังคมที่มีปัญหาไปสู่คนรุ่นต่อไปโดยไม่แก้อะไร ที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ โลกนี้เปลี่ยนแปลงได้ เกิดสิ่งใหม่ๆ ขึ้นได้ ด้วยคนที่อยู่ไม่เป็นที่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ให้กับโลก” โฆษกพรรคอนาคตใหม่กล่าว

ปฏิเสธไม่ได้ว่า กระแสอยู่ไม่เป็นที่ถูกปลุกขึ้น หนีไม่พ้นถูกโยงว่าเป็นการตั้งใจโชว์ศักยภาพทางการเมืองของพรรค ไม่ว่าจะสู้กระแสยุบพรรคหรือสู้กับวาระอื่น ส่วนจะกลายเป็นกระแสปลุกการตื่นรู้ทางการเมืองหรือไม่ หรือจะจมหายไปหลังจากนี้ ก็อยู่ที่ผู้สนับสนุนของแนวคิดทางการเมืองของพรรคอนาคตใหม่เอง