บททดสอบ “อนาคตใหม่” จากกรณี “งูเห่า” ในสภา ถึง “พ่าย” ซ่อมเขต 5 นครปฐม กระแส “ธนาธร” เริ่มแผ่ว?

การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 5 นครปฐม เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา

ผลปรากฏ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ อดีต ส.ส.หลายสมัย ผู้สมัครจากพรรคชาติไทยพัฒนา ได้รับชัยชนะเหนือนายไพรัฏฐโชติก์ จันทรขจร จากพรรคอนาคตใหม่ ในระดับตัวเลขกลมๆ 38,000 คะแนน ต่อ 28,000 กว่าคะแนน ห่างกันราว 1 หมื่นคะแนน

ผลเลือกตั้งดังกล่าวทำให้พรรครัฐบาลได้ ส.ส.เพิ่มขึ้นอีก 1 เสียง ขณะที่พรรคฝ่ายค้านลดไป 1 เสียง พรรคอนาคตใหม่ไม่สามารถรักษาเก้าอี้เดิมของนางจุมพิตา จันทรขจร ที่ลาออกเนื่องด้วยปัญหาสุขภาพจากอุบัติเหตุเอาไว้ได้

ที่สำคัญยังอาจส่งผลต่อโรดแม็ปของฝ่ายค้าน ที่ต้องการให้เขต 5 นครปฐม เป็น “โดมิโน” ตัวแรกของอีก 3 เขตเลือกตั้งในอนาคต ได้แก่ เขต 2 กำแพงเพชร, เขต 5 สมุทรปราการ และเขต 7 ขอนแก่น

กรณีเขต 5 นครปฐม หากมองจากการที่พรรคอนาคตใหม่คือแชมป์เก่าสนามนี้ในการเลือกตั้ง 24 มีนาคม นางจุมพิตา จันทรขจร ได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนมากกว่า 3.4 หมื่นคะแนน ขณะที่นายเผดิม สะสมทรัพย์ เข้ามาอันดับ 4 ด้วยคะแนน 1.2 หมื่นเศษๆ

มีการวิเคราะห์ปัจจัยแห่งชัยชนะครั้งนั้นของพรรคอนาคตใหม่ว่ามาจากหลายส่วน

ไม่ว่ากระแสคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่ว่าการที่พรรคเพื่อไทยไม่ได้ส่งผู้สมัครเนื่องจากตระกูล “สะสมทรัพย์” ย้ายออกไปอยู่ชาติไทยพัฒนา

ประกอบกับไทยรักษาชาติซึ่งเป็นพรรคพี่พรรคน้องกับเพื่อไทยถูกยุบพรรค คะแนนของฝ่ายประชาธิปไตยจึงเหลือทางออกเดียวคือผู้สมัครจากพรรคอนาคตใหม่ ผลคือนางจุมพิตาได้รับชัยชนะท่วมท้น

คำถามคือ แล้วการเลือกตั้ง 23 ตุลาคม เกิดอะไรขึ้นกับพรรคอนาคตใหม่

 

มีการวิเคราะห์กันต่างๆ นานา

บ้างว่าเป็นเพราะกระแสพรรคอนาคตใหม่เริ่มแผ่ว เพราะถูกฝ่ายตรงข้ามไล่เตะสกัดจนอ่อนแรง

บ้างว่าเป็นเพราะระหว่างขึ้นให้การต่อศาลรัฐธรรมนูญของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในคดีหุ้นสื่อ ได้กล่าวพาดพิงถึงนายทักษิณ ชินวัตร ในเชิงลบ ทำให้ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยไม่พอใจ จึงไม่เทคะแนนให้เหมือนการเลือกตั้ง 24 มีนาคม

บ้างก็ว่าเป็นเพราะพรรครัฐบาลได้ทุ่มเทสรรพกำลังทุกมิติลงในพื้นที่ เพื่อต้องการดับอหังการพรรคอนาคตใหม่ให้ได้

จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เป็นหน้าที่ของอนาคตใหม่ต้องคิดวิเคราะห์แยกแยะโดยละเอียด เพื่อไม่ให้เปิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

ท่ามกลางข้อสงสัยจากสถานการณ์ทางการเมืองในช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อนเลือกตั้งซ่อม พรรคอนาคตใหม่เจอมรสุมกระแทกใส่จนกระแสร่วงหล่นนั้น จริงหรือไม่

 

เริ่มตั้งแต่กรณีสภาลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 วาระ 1 ชั้นรับหลักการ ด้วยเสียงเห็นด้วย 251 ไม่เห็นด้วย 0 งดออกเสียง 234

มติ 7 พรรคฝ่ายค้าน ให้งดออกเสียง แต่กลับพบว่า น.ส.กวินนาถ ตาคีย์ ส.ส.ชลบุรี พรรคอนาคตใหม่ ลงมติเห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ

“งูเห่า” มีเค้าลางตั้งแต่การลงมติพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ.2562 ที่เสนอโดยรัฐบาล

หลังจาก ส.ส.อนาคตใหม่ 70 เสียง ลงมติไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน

แต่แล้วภายใต้จุดยืนของพรรค กลับปรากฏ 3 ส.ส.โหวตสวน ลงมติเห็นด้วยกับ พ.ร.ก. ได้แก่ น.ส.กวินนาถ ตาคีย์ ส.ส.ชลบุรี นายจารึก ศรีอ่อน และ พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี ส่วนอีก 1 คน งดออกเสียง คือ น.ส.ศรีนวล บุญลือ ส.ส.เชียงใหม่

ยังมีนายนิรามาน สุไลมาน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่มาประชุมแต่ตั้งใจไม่เข้าไปออกเสียงในสภา

จากรายชื่อจะเห็นว่า น.ส.กวินนาถ ตาคีย์ สวนมติพรรคถึง 2 ครั้งติดต่อกัน ทั้งในส่วน พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังฯ และร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ แถลงว่า กรณี น.ส.กวินนาถ พรรคจะดำเนินการตามข้อบังคับด้วยการให้คณะกรรมการตรวจสอบวินัยและจริยธรรมของพรรคตรวจสอบ

โดยจะเริ่มขั้นตอนภายหลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้งซ่อม จ.นครปฐม

ซึ่งการพิจารณาลงโทษตามข้อบังคับพรรค มี 4 ลำดับขั้น เริ่มตั้งแต่ตักเตือน ภาคทัณฑ์ ตัดสิทธิประโยชน์บางประการของสมาชิก ไปจนถึงไล่ออกและขับออก

 

น.ส.กวินนาถ ตาคีย์ เปิดแถลงสาเหตุการสวนมติพรรค ในกรณีร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ เนื่องจากเป็น ส.ส.เขตพรรคฝ่ายค้าน จึงต้องการให้ทีมงานในพื้นที่ทำงานได้สะดวกและช่วยประชาชนได้มากขึ้น

ส่วน พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลฯ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ส่วนตัวไม่อยากก้าวล่วง หรือทำอะไรขัดกับสถาบัน

“ขอสาบานต่อหน้าไฟว่าไม่เคยไปรับเงินตามข่าวลือ กลายเป็นว่า การที่เราสวนมติครั้งนี้ก็กลายเป็นงูเห่า รัฐบาลมีเสียงมากกว่าอยู่แล้ว เขาจะมาซื้ออะไรแค่คนเดียว ก่อนหน้านี้มีคนมาเสนอ 30 50 70 ล้าน ถ้าจะไปก็ไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว” น.ส.กวินนาถกล่าว

ทั้งนี้ เรื่องเงิน 10 ล้าน สืบเนื่องจากในระหว่างมาสภาผู้แทนฯ พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ

นายอานนท์ อำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน โพสต์เฟซบุ๊กระบุ “วันก่อนมี ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ไปรับเงิน 10 ล้าน ที่ร้านอาหารแถววิภาวดี ตอนราวๆ 18.00 น. ส.ส.ขายตัวแบบนี้ ควรลาออกไป”

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายจารึก ศรีอ่อน ส.ส.จันทบุรี พรรคอนาคตใหม่ ที่โหวตสวนมติพรรคกรณี พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลฯ ยืนยันว่า แค่เป็นการแสดงจุดยืนต่อเรื่องดังกล่าวเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับกระแสข่าวเรื่องงูเห่า หรือถูกซื้อตัว

กระนั้น นายจารึกยอมรับว่าการติดต่อซื้อตัวงูเห่าจากพรรคฝ่ายตรงข้ามมีจริงและมีเกินกว่า 3 ครั้งตั้งแต่หลังเลือกตั้ง 24 มีนาคม แต่ตนเองปฏิเสธไป และผลการโหวตร่าง พ.ร.บ.งบประมาณในแนวทางเดียวกับพรรค ก็เป็นการยืนยันว่าตนเองไม่ใช่งูเห่า

สอดรับกับที่นายอานนท์กล่าวย้ำถึงข้อมูล “งูเห่าส้ม” ว่าหลายคนพยายามไปโยงกับ ส.ส.ที่โหวตสวนมติพรรค

ทั้งที่ความจริงมีการซื้อขายตัวกันมาก่อนหน้านั้น

สถานการณ์รอยร้าวภายในพรรค นำมาสู่กระแสข่าว ส.ส.บางกลุ่มเตรียมออกไปตั้งพรรคใหม่ หากอนาคตใหม่ถูกยุบพรรคอีกด้วย

 

ต้องยอมรับสัญญาณการยุบพรรคอนาคตใหม่มีมาตั้งแต่หลังเลือกตั้ง 24 มีนาคม

เนื่องจากความสำเร็จของอนาคตใหม่ไม่เพียงอยู่เหนือความคาดหมายของฝ่ายตรงข้าม

ด้วยจุดยืนอุดมการณ์พรรคยังมีแนวโน้มเป็นอุปสรรคต่อการสืบทอดอำนาจของคนบางกลุ่มในระยะยาวอีกด้วย

ตรงนี้เองทำให้กระแสอนาคตใหม่อาจถูกยุบ มีให้ได้ยินเป็นระยะ ไม่ว่าด้วยคดีความต่างๆ ของแกนนำพรรค หรือการดำเนินการทางการเมืองที่มีลักษณะปะฉะดะ พร้อมลุยแตกหักทุกประเด็น ตามสไตล์คนรุ่นใหม่ไฟแรง ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก ไม่อ่อนข้อยอมความใดๆ ทั้งสิ้น

แตกต่างจากพรรคแกนนำฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทย ที่มีลักษณะอ่อนหยุ่นต่อการเมืองมากกว่า อาจเป็นเพราะกว่าจะมาเป็นเพื่อไทยวันนี้ ได้ผ่านมรสุมการเมืองมาโชกโชน ถูก “อภินิหารทางกฎหมาย” ยุบพรรคมาแล้ว 2 ครั้ง

เวทีบรรยายพิเศษหัวข้อ “แผ่นดินของเราในมุมมองด้านความมั่นคง” ของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ถูกระบุว่าคือสัญญาณส่งถึงพรรคอนาคตใหม่โดยตรง

การแสดงจุดยืนผ่านการลงมติ พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลฯ แม้จะเรียกเสียงชื่นชมได้จากกองเชียร์ในโซเชียล แต่ในโลกความเป็นจริงทางการเมือง กลับตอกย้ำให้เห็นถึงความอันตรายของพรรคอนาคตใหม่

ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ นำมาซึ่งปัญหางูเห่าและรอยร้าวภายใน เปิดโอกาสให้พรรครัฐบาลนำไปตอกลิ่มขยายปมขัดแย้ง

ขณะที่ผลเลือกตั้งซ่อมเขต 5 นครปฐม เป็นอีกบทเรียนสำคัญ ที่พรรคอนาคตใหม่ต้องนำมาวิเคราะห์ถึงจุดอ่อนของตัวเองอย่างลึกซึ้ง มากกว่าการโยนให้เป็นเรื่องของความพ่ายแพ้ต่อการซื้อขายเสียงอย่างเดียว

ทั้งหมดก็เพื่อการเติบใหญ่ของพรรคอย่างมั่นคง