วงค์ ตาวัน | ใช้ปืนกับคนมือเปล่า

วงค์ ตาวัน

คดีลุงวิศวะ ที่โด่งดังเขย่าสังคมเมื่อต้นปี 2561 เนื่องจากเกิดการวิวาทกับกลุ่มวัยรุ่นในเรื่องการจอดรถที่ย่านแหล่งท่องเที่ยววันหยุดของชลบุรี แล้วลุกลามบานปลาย ก่อนลงเอยด้วยการลั่นกระสุนจนทำให้วัยรุ่นอายุ 17 ปีเสียชีวิตไป 1 ราย

บัดนี้กลับมาเป็นหัวข้อสนทนาในสังคมอีกครั้ง เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามชั้นต้น ให้จำคุกลุงวิศวะ 10 ปี

ในตอนที่เกิดเหตุใหม่ๆ สังคมไทยมีการวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์นี้กันอย่างหนัก เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัว หลายคนมีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน แต่ก็มีมุมมองและความคิดเห็นแตกต่างกันไป

“สุดท้ายเมื่อคดีขึ้นสู่ศาล และผ่านการสืบพยานหลักฐานจนครบถ้วน จึงมีคำพิพากษาออกมา เป็นข้อสรุปของปัญหาเรื่องนี้ เป็นข้อยุติที่ชัดเจน และทั้งสังคมควรเรียนรู้เป็นบทเรียนให้กับตนเอง”

โดยศาลเห็นว่า พฤติกรรมของลุงวิศวะผู้ใช้อาวุธ มีความผิดจริง ข้ออ้างเรื่องการใช้ปืนเพื่อป้องกันตัวนั้นฟังไม่ขึ้น

“ประเด็นสำคัญในคำพิพากษาก็คือ เพราะลุงวิศวะมีอาวุธปืน และเมื่อเริ่มเกิดทะเลาะกัน ก็เตรียมพร้อมที่จะใช้อาวุธปืน พร้อมจะสมัครใจวิวาท!”

“เหตุที่จำเลยมีความฮึกเหิมกล้าท้าท้ายก็เนื่องจากจำเลยพกพาอาวุธปืนซึ่งบรรจุลูกกระสุนปืนไว้แล้วติดตัวไปด้วย และเตรียมอาวุธปืนไว้ตั้งแต่ที่หน้าร้านขายของฝาก บ่งชี้ถึงเจตนาของจำเลยว่าพร้อมที่จะสมัครใจวิวาท”

ศาลยังชี้ว่า เหตุการณ์นี้ต่างฝ่ายต่างสมัครใจวิวาท แม้ฝ่ายผู้ตายกับพวกทำร้ายร่างกายจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย แต่ด้วยข้ออ้างว่าใช้เพื่อป้องกันตัวเองนั้นฟังไม่ขึ้น

“จึงนำมาสู่คำตัดสินว่า ลุงวิศวะกระทำผิดจริง”

แต่ในคำพิพากษาบอกด้วยว่า เนื่องจากจำเลยมิได้มีจิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงโจรผู้ร้าย เพียงแต่ขาดสติยับยั้งชั่งใจในการควบคุมตน จำเลยยิงปืนไปเพียง 1 นัด หลังเกิดเหตุมิได้หลบหนีไปไหนและยอมรับกับเจ้าพนักงานตำรวจในทันทีว่าเป็นคนยิงผู้ตาย จึงลดโทษจากจำคุก 15 ปี เหลือ 10 ปี

จนล่าสุดศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเห็นพ้องกับศาลชั้นต้น แต่คดีก็ยังไม่ถึงที่สุด ยังมีศาลฎีกาพิจารณาอีกชั้น

การมีปืนในมือ และการยับยั้งชั่งใจ เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้จากคดีนี้มากที่สุด!

ปัจุบันคนไทยจำนวนหนึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนได้ โดยต้องยื่นขออนุญาตกับนายทะเบียน และมีการตรวจสอบคุณสมบัติว่าสามารถออกใบอนุญาตให้ได้หรือไม่ รวมทั้งหากมีความจำเป็นจะต้องพกพาอาวุธปืนไปไหนมาไหนด้วย ก็ต้องยื่นขอใบอนุญาตเพิ่มอีกใบ ซึ่งจะต้องตรวจสอบว่า มีอาชีพการงานจำเป็นต้องมีปืนไว้พกพาในการเดินทางเพื่อป้องกันตัวเองหรือไม่

ก็ไม่ถึงกับสามารถมีปืนและพกปืนได้ง่ายดายนัก แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ได้รับอนุญาต

โดยคนจำนวนหนึ่งแค่ขอมีปืนไว้ในบ้านเพื่อป้องกันโจรผู้ร้ายบุกเข้ามาในยามวิกาล แต่คนอีกส่วนอาจมีอาชีพที่ต้องเดินทาง แล้วมีความเสี่ยง เช่น พ่อค้านักธุรกิจต้องมีเงินจำนวนมากติดตัว หรือคนที่มีอาชีพที่ต้องเดินทางไปในพื้นที่ห่างไกล อาจเกิดอันตรายจากอาชญากรได้ เหล่านี้ก็จะได้รับอนุญาตให้พกปืนได้ แต่ก็มีรายละเอียด ต้องแยกปืนกับกระสุนเอาไว้ต่างหาก จะบรรจุลูกปืนได้เมื่อถึงเวลาต้องใช้เท่านั้น

“แต่ในเหตุการณ์ลุงวิศวะ ซึ่งยกครอบครัวไปเที่ยวชายทะเล เพียงแค่ไปท่องเที่ยวในพื้นที่มิได้ห่างไกลเสี่ยงภัยใดๆ ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องพกปืน”

แล้วถ้าวันนั้นไม่ได้พกพาอาวุธปืน ก็อาจมีปัญหาลดน้อยลงไป หรืออาจไม่เกิดเรื่องใดๆ เลยก็ได้

“ดังคำพิพากษาของศาลที่ชี้ว่า จำเลยมีความฮึกเหิมกล้าท้าทาย เนื่องจากพกปืนซึ่งบรรจุกระสุนเอาไว้พร้อมแล้ว และพร้อมจะสมัครใจวิวาท”

แม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งได้รับการฝึกฝนในการใช้อาวุธปืนมาอย่างดี ต้องเรียนรู้สังเกตว่า ผู้ต้องสงสัยที่เข้าตรวจค้นจับกุมนั้นมีอาวุธปืนหรือไม่ หรือมีการชักปืนมาเตรียมจะยิงต่อสู้หรือไม่ ในนาทีเป็นนาทีตายนั้น เจ้าหน้าที่สามารถยิงใส่คนร้ายได้ เฉพาะเป็นการป้องกันตัว เมื่อชัดเจนว่าคนร้ายชักปืนมายิงจะต่อสู้เท่านั้น

“มีหลายครั้งที่ตำรวจต้องตกเป็นจำเลย ถูกดำเนินคดี เพราะการใช้อาวุธปืนไม่สมควรแก่เหตุ ยิงใส่คนร้ายทั้งที่ไม่ได้พกปืนหรือเตรียมใช้ปืน”

ยิ่งเป็นกรณีประชาชนทั่วไป ซึ่งไม่ได้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี ยิ่งเป็นเรื่องยากเมื่อจะต้องตัดสินใจใช้ปืน เพราะถ้ายิงใส่คนที่ไม่มีอาวุธ ก็กลายเป็นข้อหาฆ่าคนตายไปในที่สุด

การมีปืนและใช้ปืนในแต่ละสถานการณ์ จึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสัญชาตญาณของมนุษย์ทุกคน เมื่อเกิดความหวาดกลัวหรือมีเหตุจวนตัวต้องป้องกันตัวเอง มักจะหยิบฉวยสิ่งใกล้มือมาใช้

ใช้แล้วจะสมเหตุผลหรือไม่ ถ้าไม่สมควรแก่เหตุก็จะกลายเป็นจำเลยไปในทันที!

หลักเดียวกันนี้ นำมาสู่การตั้งตำรวจหน่วยปราบจลาจล ไว้ควบคุมฝูงชน เมื่อเกิดการชุมนุมประท้วงของประชาชน โดยต้องไม่มีอาวุธปืนประจำกาย ใช้ได้เพียงแก๊สน้ำตา ปืนยิงกระสุนยาง ปืนยิงแห และกระบอง

นอกจากนี้ ยังมีเครื่องป้องกันตัวเองอย่างรัดกุม ชุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลสวมใส่จึงมีลักษณะพิเศษ ป้องกันตั้งแต่หัว ใบหน้า ลำตัว จรดเท้า ทั้งยังมีโล่ไว้กำบังไม่ให้ได้รับอันตรายหรือเจ็บปวด

เนื่องจากตำรวจที่ฝึกมาเหล่านี้ ลึกๆ ก็มีสัญชาตญาณมนุษย์ โกรธแค้นโมโหเมื่อได้รับความเจ็บปวดหรือบาดเจ็บอันตราย ดังนั้น ต้องมีเครื่องป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดอารมณ์ เมื่อโดนผู้ชุมนุมขว้างปาสิ่งของใส่ ไปจนถึงนาทีปะทะประชิดตัวกับม็อบ ถ้าเกิดจำเป็นต้องป้องกันตัว ก็ใช้อาวุธที่มีอยู่ ซึ่งไม่ทำให้ประชาชนผู้ชุมนุมได้รับอันตรายร้ายแรง

“ตำรวจปราบจลาจลจึงเกิดขึ้นและใช้กันทั่วโลก”

ในประเทศไทยเริ่มใช้หลังเหตุพฤษภาทมิฬ 2535 โดยมติ ครม.รัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน หลังตั้งกรรมการสอบสวนความรุนแรงในการปราบประชาชนจนล้มตายนองเลือด แล้วสรุปได้ข้อหนึ่งว่า ประเทศไทยเรามีความผิดพลาดมาตลอด เพราะใช้ทหารเข้ามาควบคุมสถานการณ์เมื่อประชาชนประท้วงใหญ่ รวมทั้งขณะนั้นไม่ได้ก่อตั้งหน่วยปราบจลาจลอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ไม่มีแก๊สน้ำตา กระสุนยางใช้อย่างจริงจัง

จากนั้นจึงมีหน่วยปราบจลาจลไว้รับมือกับการประท้วงของประชาชน และไม่มีเหตุสังหารประชาชนที่ประท้วงทางการเมืองเลือดนองถนนอีก

“ในยุครัฐบาลทักษิณที่รับมือม็อบพันธมิตรฯ ก็ใช้ตำรวจปราบจลาจล ในยุครัฐบาลสมัครก็ใช้ตำรวจปราบจลาจลรับมือม็อบพันธมิตรฯ”

แต่มาในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ-สุเทพ เทือกสุบรรณ เกิดการชุมนุมประท้วงใหญ่เมื่อปี 2553 ด้วยข้ออ้างว่ามีผู้ก่อการร้ายอยู่ในที่ชุมนุม จึงอนุญาตให้ใช้ทหารพร้อมกระสุนจริง จนกลายเป็นเหตุการณ์ 99 ศพ

“ที่สำคัญ ที่ตายร่วมร้อยศพนั้น ไม่มีแม้แต่ศพเดียวที่เป็นผู้ก่อการร้าย ชายชุดดำ ไม่มีปืนในมือ ไม่มีร่องรอยการใช้อาวุธยิงใส่เจ้าหน้าที่!!”

แต่วันนี้คดี 99 ศพ ยังไม่สามารถนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้

ล่าสุดญาติของนายพัน คำกอง 1 ใน 99 ศพ ใช้สิทธิ์ฟ้องร้องเองต่อศาลอาญา ด้วยไม่สามารถพึ่งกระบวนการยุติธรรมใดๆ ได้

คำถามก็คือ ทำไมจึงละเมิดหลักการใช้ตำรวจปราบจลาจลที่ไม่มีปืนและกระสุนจริง

ปล่อยให้ทหารที่ฝึกฝนมาสู้รบในสงครามพร้อมอาวุธจริง ไปเผชิญหน้ากับประชาชนที่ชุมนุมด้วยสองมือเปล่า!?!