การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ตื่นเถอะ สายแล้ว

ฉันเดินอยู่ในทุ่งหญ้าฉ่ำน้ำค้าง ปลายหญ้ากำลังระข้อเท้าฉันอยู่ อากาศสดสะอาดเหลือเกิน และผืนดินใต้เท้าเปล่าเปลือยก็นุ่มนิ่มเสียกระไร

แต่แปลกจัง เหมือนฉันกำลังหวนคืนกลับมาใหม่ มีอะไรสักอย่าง…ช่างคุ้นเคย เหมือนฉันเคยอยู่แบบนี้ ตรงนี้ ที่นี่ อยู่กับความรู้สึกเดิมๆ ไม่เคยพรากจากสิ่งใดไป

ผู้ชายคนนั้นไม่นุ่งเสื้อ บังคับคันไถตามหลังควายตัวใหญ่

มีแอ่งน้ำขังใกล้ๆ ตีนฉัน ซึ่งฉับพลัน คีบรองเท้าแตะใหญ่เทอะทะอยู่ ก้มดูตัวเองอีกคราว ฉันนุ่งเสื้อขาวแขนกุ๊นกับกระโปรงนักเรียน

เหลียวไปทางทิศตะวันออก รวงข้าวกำลังออกรวงเหลืองสุกปลั่ง หากพอเหลียวไปทางทิศตะวันตก ทุ่งนาเจิ่งนองน้ำกว้าง เอิบอาบแปลบปลาบในแสงตะวัน

 

มีปลาตัวเล็กๆ ว่ายอยู่ในน้ำเหมือง…ฉันเคยเห็นมันก่อน มันเป็นปลาสีขาว ครีบสีแดงอ่อนจาง กำลังโบกครีบโบกหาง ดวงตาใสแจ๋ว

แล้วมันก็พูดกับฉัน

…เหมือนฉันรู้อยู่แล้วว่ามันจะพูดอะไร

เมื่อปลาตัวนั้นอ้าปาก ฉันรู้ว่าจะเป็นคำว่าอะไร และตัวฉันเองก็อ้าปากตอบไป เหมือนที่เคยพูดมาก่อนนับพันๆ ครั้ง

“เธอจะไปไหนหรือ”

“ไม่รู้”

“มาอยู่ด้วยกันสิ”

“ไม่ได้หรอก เราไม่เหมือนกัน อยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก”

“ทำไมล่ะ เธอคิดว่าบนนั้นดีนักเหรอ ฉันเคยได้ยินเขาพูดกัน ดินน่ะทั้งร้อนทั้งแข็ง ถ้าฉันไปอยู่บนนั้นคงถลอกปอกเปิกไปทั้งตัว”

“ใครบอกเธอ”

ปลาน้อยตอบมา…มันคือกบตัวหนึ่ง

ฉันมองปลาซิวอย่างนึกเวทนา

“เธอเชื่อเขาง่ายๆ เลยหรือ”

“ฉันก็ไม่อยากเชื่อหรอก แต่ญาติๆ ของฉันขึ้นไปตายบนนั้นกันตั้งมาก หน้าแล้งปีก่อนมีคนมาก่อกำแพงวิดเอาน้ำออก จะจับหมู่เรา ลุงกับแม่พยายามดิ้นหนี พี่กบบอกว่าแม่โดดขึ้นไปบนดินสีส้มๆ นั่นแล้วก็ขาดใจ”

ช่างเป็นเรื่องเศร้าเหลือเกิน แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ฉันจะลงไปในน้ำตื้นเขินแค่นั้น

“ไปก่อนนะ”

“เธอไม่อยากมาอยู่กับพวกเราจริงๆ เหรอ”

“ไม่”

“น่าเสียดายนะ” ปลาสะบัดหางตะโกน “เธอจะไม่มีโอกาสอีกแล้วนะ”

“เรื่องของฉัน”

 

ฉันออกเดินต่อไปอีก ระยะทางดูจะกำหนดไม่ได้ ไม่รู้ว่าปลายทางอยู่ไหน ฉันไม่รู้สึกเหนื่อย ไม่รู้สึกหิว แต่เพียงคอนหัวไว้บนบ่าก็ดูจะเป็นสัมภาระเหลือเกิน

สักพัก ฉันก็ก้มหน้าคางจรดอก ผ่อนแขนสองข้างเหยียดทิ้ง ปลายนิ้วทั้งสิบลู่ลงหาพื้น

เดินไปอีกไม่กี่ก้าว ก็เจอซากนกตัวหนึ่งแอ้งแม้งบนพื้น

ฉันยกเท้าข้ามมันไป แต่กลับเจอนกอีกตัว

อีกตัว

และอีกตัว

คราวนี้เมื่อเหลียวหลัง ฉันเห็นนกตัวอ้วนพีนอนคว่ำหน้าเรียงรายเหยียดยาว เหมือนก้อนขาวๆ นั่นคือสิ่งมีชีวิตที่เคยบินได้หรือ

เสียงโห่ดังขึ้นอีก ฉับพลันก็มีเด็กๆ วิ่งกรูมาจากเบื้องหน้า ซอยเท้ากันถี่ๆ ทะลุผ่านร่างฉันไป

รอย!

 

ฉันได้ยินเสียงน้ำไหลในห้วย คลอเคล้ามากับลมพัดใบไม้ ใบไผ่ และอีกครั้ง ดั่งร่างกายยังคงจดจำในภาพที่เกิด

รอยถลันเข้ามาคว้าข้อแขนฉัน

“มึงมาทางนี้!”

ฉันกระโดดลงจากแคร่ในเพิง ร่างกายเบาราวปุยนุ่น รอยลากแขนฉันอ้อมไปหลังกอไผ่ แล้วสายน้ำสีขาวก็หลั่งไหลเบื้องหน้า

“มึงมาทางนี้!” เสียงรอยร้องซ้ำอีกคราว

เรากระโดดอีกสองสามก้าว ถึงไม้ขอนที่ทอดข้ามฝั่ง ลำน้ำกว้าง มีหินก้อนเล็กก้อนใหญ่ผุดเกลื่อน

รอยวักน้ำเข้าปาก

“จืดกว่าน้ำบ่อเสียอีก”

ฉันเข้าไปชิมบ้าง ตะแคงฝ่ามือกอบเข้าหากัน ตักน้ำยกซด ความเย็นสดชื่นไหลเอิบอาบเข้าปาก แผ่ซ่านลงตามลำคอ ไหลซอกซอนเข้าไปถึงในเนื้ออก น้ำหกไหลเลอะคาง ย้อยถึงเสื้อ พ้นคำแรกฉันก็กลืนลงคออย่างกระหาย

“ใจเย็น ค่อยกิน เดี๋ยวสำลัก”

“เออ กูเพิ่งรู้นี่แหละว่าหิวน้ำ”

ฉันดื่มเอา ดื่มเอา กลืนน้ำเสียงอึกๆ…แล้วเรอดัง อิ่มน้ำไม่เหมือนอิ่มข้าว ลมน้ำไม่เหมือนลมข้าว อ้าปากขับลมแล้วก็สบาย ฉันทรุดตัวลงนั่งเอาดื้อๆ ทุกอย่างวิเศษเหลือเกิน

“กูว่าแล้วมึงต้องชอบที่นี่”

รอยพูดประโยคนั้นอีก

“เออ ชอบ ชอบมากด้วย”

“มึงหาที่นี่เจอได้ยังไง”

รอยตอบฉัน ทว่า ปากนั้นกลับอ้าพะงาบๆ โดยไร้เสียง ฉันผงะ ไหวตัวเพราะว่ามีบางสำนึกเกิดขึ้นใหม่

นี่ไม่ใช่รอย…มันมีรอยอีกคนที่จ้องฉันด้วยดวงตาข้างใหม่…แต่ไม่ใช่เด็กชายคนนี้ รอยคนนั้นไม่ใช่รอยคนนี้ และที่นี่เป็นเพียงภูมิทัศน์ในห้วงฝัน

แล้วฉันก็ได้ยินเสียงเรียก

 

“พี่พี่”

เสียงของชื่นใจ

“พี่ เป็นอะไรมากมั้ย!”

พร้อมกันนั้น ฉันก็รู้สึกถึงสัมผัสของแผ่นไม้กระดาน ฉันนอนอยู่บนบ้านไม้ ที่ยินเสียงน้ำไหลจากฝายคลอๆ

“ลูกเอ๋ย…ลูกเอ๋ย”

และเสียงแม่

“เวรกรรมแม่ทำมาแต่ไหน ทำไมต้องเป็นลูกมาเจ็บแบบนี้…พี่ หนนี้ต้องตามหมอแล้วนะ ไม่ต้องส่งผีส่งเคราะห์อะไรแล้ว”

“ใจดีๆ ไว้แม่ เดี๋ยวลูกก็ฟื้น หมอใหม่ก็อยู่นี่ ไม่มีเลือดตกยางออกสักน้อย”

“เกิดลูกช้ำในจะเป็นยังไง เลือดคั่งสมองตายจะทำยังไง”

เสียงแม่ร้องไห้ดังกว่าทุกๆ ครั้ง พร้อมเสียงพึมพำงึมงำของผู้คนอีกจำนวนมากแวดล้อม ฉันพยายามจะลืมตาขึ้น แต่ก็ยังลืมไม่ได้

 

เด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งนั่งหน้าเศร้าอยู่โคนต้นจุมปาลาว เด็กหญิงนุ่งซิ่นแถบดำ สวมเสื้อแขนกระบอก เหมือนผู้ใหญ่ตัวเล็กๆ มากกว่าจะเป็นเด็ก แต่เธอก็เป็นเด็ก…

“มานั่งอะไรตรงนี้”

ฉันทักขึ้น เด็กหญิงเงยหน้า

“มารอเธอไง”

“รอฉัน รอทำไม”

“ฉันอยากคุยกับเธอ”

ฉันจ้องหน้าเด็กหญิงแปลกหน้า ในความไม่คุ้นหน้า กลับคุ้นเคยขึ้นมาอีกเช่นกัน ตาของเธอมีขอบดำคล้ำ ปากซีดๆ ใบหน้าหม่นหมองเหมือนเป็นไข้เรื้อรัง

“รู้จักฉันเหรอ”

“ฮื่อ รู้จัก”

“แล้วอยากคุยอะไรกับฉัน”

“ฉันอยากเป็นเพื่อนเธอ”

เราจ้องมองกัน ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้านั้น มีแต่ความโศกเศร้าที่เด่นชัด แล้วเด็กหญิงก็ยื่นมือเย็นเฉียบออกมาจับข้อมือฉัน

“ฉันไม่มีเพื่อนเล่นเลย เธอมาเล่นกับฉันบ่อยๆ ได้มั้ย”

“เล่นที่ไหน แล้วนี่อยู่ชั้นไหน วันนี้ไม่เข้าห้องเรียนเหรอ”

“เปล่า ฉันไม่ได้เรียนหนังสือ…ฉันอยู่แถวนี้แหละ เธอมาเล่นกับฉันบ่อยๆ ได้มั้ย”

ฉันลังเล แต่ก็คิดถึงชื่นใจ

“…ได้สิ ถ้าว่างน่ะนะ เดี๋ยวมาเล่นด้วย…แล้วเล่นอะไรเป็นมั่งล่ะ”

“เล่นเก็บดอกไม้”

“สนุกตรงไหน”

“สนุกซี อย่างนี้ไง”

เด็กหญิงเก็บดอกไม้ขึ้นมา เอาปลายก้านเสียบเข้ากับใจกลางดอก ต่อกันเป็นทอดๆ ได้ออกมาเป็นพวงมาลัยขนาดเล็ก พอเสร็จ ก็ประคองส่งให้ฉันทั้งพวง

“เห็นไหม สวยไหม”

“สวย”

ฉันตอบ รับพวงจุมปาลาวไว้ ยกขึ้นดม มีกลิ่นหอมหวานเยือกเย็น

“พี่!”

“พี่”

 

ชื่นใจวิ่งเข้ามาหาฉัน ฉันหันกลับไปมองเด็กหญิงนุ่งซิ่น เธอกลับไปหลบหลังต้นไม้ มีแต่ดวงตาสีดำเหลือบแลจ้องมา…แล้วฉันก็เห็นใบหน้าที่อมทุกข์นั่น ขอบตาดำคล้ำ ลำคอเขียวขื่นเหมือนกลืนของมีพิษมา นั่นมันใบหน้าฉันเอง

ฉันใจหายวูบ จับข้อมือชื่นใจแน่นเข้า พวงมาลัยจุมปาลาวร่วงอยู่แทบเท้า ชื่นใจกอดฉันแนบแน่น เมื่อฉันซุกหัวลงชนโบหูกระต่าย

หากทันใด รอยก็ปรากฏตัวขึ้นอีกตรงหน้า เด็กชายเหลียวมาแสยะยิ้มให้ฉัน มีลมพายุพัดมา ผ่านปะทะเนื้อตัว ฉุดกระชากจะให้ตัวฉันลอยขึ้นเหนือพื้น ด้วยแรงปั่นป่วนมหาศาล

“พี่ เธออย่าเพิ่งตายนะ” นั่นเสียงชื่นใจที่แทรกเข้ามา พยายามจะยื้อฉันเอาไว้

…แล้วฉันก็ได้ยินเสียงแม่

“พี่…พี่ ฟื้นเถอะนะ อยากกินอะไรแม่จะทำให้กิน”

แล้วในโสตประสาท ฉันก็แว่วยินอีกเสียงหนึ่ง “จันทร์เสี้ยว…ตื่นเถอะ สายแล้ว น้องตายพอแล้ว ตื่น ตื่นนะ” เหมือนน้ำไหลเร็วรี่ บ่าไหลเข้าไปในอกจนรู้สึกหายใจไม่ออก ต้องผุดลุกขึ้น สำลักออกมา