นงนุช สิงหเดชะ : หายนะของ “ทรัมป์ทวีต”

 

ในเวลานี้ไม่มีใครเป็นผู้ทรงอิทธิพลในการสื่อสารของโลกมากเท่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา (ซึ่งมีวุฒิภาวะระดับเด็กอนุบาล) ซึ่งนิยมใช้บัญชีทวิตเตอร์ส่วนตัวในการทวีตข้อความบ่อยที่สุด

หลังชนะการเลือกตั้ง เครื่องมือโซเชียลที่อนุญาตให้เขียนได้ครั้งละ 140 ตัวอักษรของเขาทรงพลังขนาดที่สามารถทำให้ตลาดทุนเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แม้กระทั่งสั่นสะเทือนการเมืองระหว่างประเทศ

และที่ร้ายที่สุดทำให้บริษัทขนาดใหญ่ระดับโลกหลายบริษัทต้องเจ๊งไปหลายพันล้านดอลลาร์ในเวลาแค่ไม่กี่นาที (เนื่องจากหุ้นตก)

การทวีตของเขา อาจทำให้เกิดการตอบโต้การค้าจากจีน และนั่นหมายถึงสงครามการค้าที่จะทำให้อเมริกาสูญเสียการค้ามูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์กับจีนไป

ไม่เท่านั้น เขายังทวีตสร้างความเสียหายให้กับล็อกฮีต มาร์ติน บริษัทผลิตเครื่องบินไอพ่นของอเมริกา พลันที่ข้อความของทรัมป์ปรากฏออกไป มูลค่าหุ้นของล็อกฮีตหายไปทันที 4 พันล้านดอลลาร์

เช่นเดียวกับบริษัทโบอิ้ง ผู้ผลิตเครื่องบินโดยสาร-พาณิชย์ ที่ราคาหุ้นหล่นลง 1% หรือโตโยต้าที่ทรัมป์ขู่ว่าห้ามไปลงทุนตั้งโรงงานในเม็กซิโก ไม่เช่นนั้นจะถูกเก็บภาษีข้ามแดน 35% หากส่งเข้ามาขายในอเมริกา

ราคาหุ้นก็ดิ่งลงไป 3%

AFP PHOTO / Brendan Smialowski

ที่ทำให้ผู้เกี่ยวข้องหนักอกหนักใจไม่แพ้กันในความชื่นชอบใช้ทวิตเตอร์แบบไร้สติของทรัมป์ก็คือการที่ทรัมป์ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กที่มีระบบรักษาความปลอดภัยต่ำจะตกเป็นเป้าของแฮ็กเกอร์ หากใครก็ตามสามารถแฮ็กทวิตเตอร์ของทรัมป์ได้ อาจแอบมาใช้ทวิตเตอร์ของทรัมป์ทวีตข้อความในลักษณะเห็นด้วยกับบริษัทหนึ่งและตำหนิอีกบริษัทหนึ่ง (แบบที่ทรัมป์ทำเสมอ) เพื่อผลักดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นหรือกดให้ต่ำลงตามจุดประสงค์ของตน

ปัจจุบันมีแอพพลิเคชั่นตลาดหุ้นที่เรียกว่า ทริกเกอร์ ที่จะคอยแจ้งเตือนการตอบสนองของตลาดที่มีต่อข้อความทวีตของทรัมป์เมื่อใดก็ตามที่ทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์บริษัทในตลาดหุ้น

ที่ร้ายกว่านั้นก็คือจะสร้าง “ปัญหาความมั่นคง” เพราะหากมีใครบางคนที่มีแรงจูงใจทางการเมืองระหว่างประเทศ ก็อาจจะแอบไปใช้ทวิตเตอร์ของทรัมป์เพื่อทวีตข้อความในลักษณะชื่นชอบประเทศหรือผู้นำคนหนึ่ง แล้วเกลียดประเทศหรือผู้นำของอีกประเทศหนึ่งแบบที่ทรัมป์ชอบทำ ก็จะสร้างปัญหาให้กับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้

หากผู้แฮ็กมีความไม่ชอบผู้นำของประเทศไหนสักคนก็สามารถใช้ทวิตเตอร์ในชื่อทรัมป์กระตุ้นให้กลุ่มผู้ติดตามทวิตเตอร์ของทรัมป์ที่มีอยู่ 19 ล้านคนปลดปล่อยความโกรธเกลียดออกมาใส่ผู้นำของประเทศนั้นหรือใครก็ตามที่ผู้แฮ็กเห็นว่าเป็นศัตรู

 

AFP PHOTO / Nicholas Kamm

การใช้ทวิตเตอร์ของทรัมป์เป็นปัญหาร้ายแรง ถึงขนาด จอห์น เบร็นแนน ผู้อำนวยการซีไอเอ ที่กำลังจะพ้นตำแหน่ง ได้ออกมาเตือนว่า ทรัมป์ควรระวังคำพูด ต้องเข้าใจอย่างเต็มที่ว่าสิ่งที่ทวีตออกไปนั้นมีนัยยะและผลกระทบอะไรต่ออเมริกา

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวของทรัมป์ แต่มันคือเรื่องความมั่นคงของอเมริกา

ความชอบพูดและชอบทวีตของทรัมป์ไม่ใช่การรักษาผลประโยชน์ที่ดีที่สุดของอเมริกา

อันที่จริงสิ่งที่ผู้อำนวยการซีไอเอออกมาพูดนั้น เกี่ยวเนื่องกับกับรัสเซีย ซึ่งหน่วยข่าวกรองมีหลักฐานว่ารัสเซียนั้นได้แฮ็กอี-เมลของพรรคเดโมแครตในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง เพื่อดิสเครดิต นางฮิลลารี คลินตัน หวังช่วยให้ทรัมป์ชนะเลือกตั้ง เนื่องจากทรัมป์แสดงท่าทีทางบวกต่อรัสเซียในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง

ว่ากันว่าข้อมูลที่รัสเซียแฮ็กจากอี-เมลของเดโมแครตนั้น เป็นข้อมูลในทำนองลดความน่าเชื่อถือของนางฮิลลารี (อันจะมีผลต่อการตัดสินใจของชาวอเมริกัน) ถูกนำไปส่งต่อให้กับเว็บไซต์วิกิลีกส์เพื่อกระจายต่อสาธารณชน

หลังจากข่าวนี้ปรากฏทางสื่อ ทรัมป์ได้ทวีตในลักษณะปกป้องตนเองและรัสเซีย พร้อมกับกล่าวหาว่าหน่วยข่าวกรองเล่นการเมืองหวังจะช่วยเดโมแครต

เมื่อทรัมป์ปกป้องรัสเซีย ก็มีข่าวหลุดลอดออกมาทางสื่อเพิ่มเติมแสดงให้เห็นหลักฐานว่าทรัมป์มีสัมพันธ์แนบแน่นกับรัสเซีย ซึ่งทำให้เขาโกรธจัด จึงทวีตข้อความว่า “เรากำลังอาศัยอยู่ในเยอรมันยุคนาซีหรือนี่” เพราะเชื่อว่าหน่วยข่าวกรองน่าจะเป็นผู้ปล่อยข้อมูลนี้ออกมา ซึ่งผู้อำนวยการซีไอเอระบุว่า รู้สึกโกรธมากที่หน่วยข่าวกรองและหน่วยงานความมั่นคงของอเมริกาถูกนำไปเปรียบเทียบกับนาซี และเขายืนยันว่าหน่วยข่าวกรองได้รายงานข้อกล่าวหาต่างๆ นี้ให้กับทรัมป์ทราบล่วงหน้าแล้ว ก่อนจะถูกรายงานต่อสาธารณะ

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาทรัมป์ยอมรับว่ารัสเซียอาจแฮ็กข้อมูลจริง แต่ก็เฉไฉโทษว่าเป็นเพราะเดโมแครตมีระบบรักษาความปลอดภัยไม่ดีเอง

AFP PHOTO / NICHOLAS KAMM

พิษของทรัมป์ยังสามารถสร้างความแตกแยกในสังคมได้อย่างล้ำลึก และเชื่อว่ารอยร้าวนี้จะถ่างกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ จนอาจถึงขั้นสงครามกลางเมือง

แรงต่อต้านทรัมป์ยังมีมหาศาลถึงขั้นว่าแม้แต่กิจการค้าปลีกที่สนับสนุนทรัมป์ยังได้รับผลกระทบ เสี่ยงเจอแรงบอยคอต หลังจากทรัมป์ได้ทวีตขอบคุณ ลินดา บีน ทายาทของ แอล.แอล. บีน ที่สนับสนุนการเงินแก่ทรัมป์และพรรครีพับลิกัน ก็ทำให้ลูกค้าจำนวนมากของแอล.แอล. เริ่มเรียกร้องให้บอยคอตสินค้าของ แอล.แอล. บีน

ส่วนห้างเมซี”ส์ ก็ถูกลูกค้าที่ไม่ชอบทรัมป์ต่อต้านหลังจากไม่ยอมเลิกวางขายสินค้าของอิวานก้า ลูกสาวของทรัมป์ อย่างไรก็ตาม เมซี’ส์ ได้ตัดสัมพันธ์กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ตั้งแต่ปี 2015 หลังจากทรัมป์ได้วิจารณ์เกี่ยวกับคนลาติโน โดยผู้บริหารออกแถลงการณ์ว่าเมซี’ส์ เป็นบริษัทที่มีจุดยืนเรื่องการยอมรับความหลากหลายด้านเชื้อชาติและไม่กีดกันคนอื่น ส่งผลให้บรรดาสาวกของทรัมป์หยุดไปช็อปปิ้งที่ห้างแห่งนี้เพื่อแก้แค้น (สะท้อนว่าคนอเมริกันสาวกทรัมป์เป็นพวกเหยียดเชื้อชาติ)

รองเท้านิวบาลานซ์ เป็นอีกแบรนด์หนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากพิษทรัมป์ โดยหลังจากผลเลือกตั้งออกมา ลูกค้ารองเท้ายี่ห้อนี้ ได้เผารองเท้าทันทีหลังจากผู้บริหารของนิวบาลานซ์ออกมาพูดว่าทุกอย่างกำลังเคลื่อนไปในทิศทางที่ถูกต้องภายใต้ทรัมป์

ดูไปละม้ายคล้ายกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในเมืองไทยมาแล้ว ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่งทรัมป์จะรู้เองว่าสไตล์การบริหารประเทศแบบเขาไปไม่รอด ตราบที่เขายังแบ่งแยกประชาชนและใช้นโยบาย-คำพูดแบบที่เป็นอยู่

ทรัมป์มีลักษณะ “แก้แค้น” และ “ใจแคบ” ทางการเมืองอยู่มากและไร้มนุษยธรรม เช่น เตรียมยกเลิกระบบประกันสุขภาพ “โอบามาแคร์” (ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือคนอเมริกันยากจนราว 40 ล้านคนที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาล ให้สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาล) ที่รัฐบาลโอบามาทำไว้ เพียงเพื่อจะทำลายประวัติศาสตร์ความสำเร็จด้านระบบประกันสุขภาพของเดโมแครตที่ผลักดันเรื่องนี้สำเร็จเป็นครั้งแรก

หรือแม้กระทั่งการสั่งปลดทูตสหรัฐชุดเดิมทั่วโลกแบบฉับพลันไม่ให้มีเวลาเตรียมตัวราวกับโกรธแค้นกันมานาน

นี่เป็นผู้นำระบอบประชาธิปไตยที่น่าเคารพและควรค่าแก่การให้เกียรติเชื่อฟังแบบไม่ลืมหูลืมตาหรือเปล่า!