ทวีปที่สาบสูญ : ฉันมองดูใบแดงในมือคนแปลกหน้า โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

กูตกในสภาพแบบนี้อีกแล้วหรือ…นั่นคือถ้อยคำที่ดังขึ้นซ้ำๆ ภายในหัวตัวเอง

เหมือนถูกสูบเอาเลือดเนื้อไปจนสิ้น แขนขาอ่อนเปลี้ยไร้แรง คอแห้งผาก ง่วงงุนและบุบเบลออยู่เต็มที สัมปชัญญะเดียวที่มีคือการตระหนักว่า กำลังเป็นภาระของคนอื่น

“เอาพี่เขามาทางนี้” เสียงของพะนา

ตัวฉันถูกยกลอยขึ้นไป ครู่หนึ่งหลังก็แตะลงบนเนื้อไม้แข็งๆ ยินเสียงเลื่อนของอีก รับรู้ว่าม้านั่งสองตัวถูกลากเข้ามาต่อกัน

หัวถูกช้อนยกขึ้น แล้วอะไรสักอย่างก็เลื่อนเข้ามาให้หนุน พลางยินเสียงพูด

“มีน้ำหวานมั้ย ขอสักแก้วหนึ่ง”

“มีน้ำขวด” เสียงของพะนา

“นั่นแหละ เอามาทั้งขวดก็ได้ ขอหลอดดูดด้วย”

มีมือปัดผมให้บริเวณหน้าผาก

“นอนก่อน นิ่งๆ อย่าเพิ่งลุก”

ไม่มีทางอื่นนอกจากจะทำตามคำบอก จนเวลาผ่านไปสักพัก หัวก็ยังหมุนอยู่โคลงเคลง ทันทีที่หลับตา จะรู้สึกอยากอาเจียนมากกว่าเดิม แต่ความคิดที่ไม่ยอมแพ้ทำให้ฉันพยายามถ่างตาให้มากที่สุด

จนกระทั่ง…จากรางเลือนแล้วค่อยชัด เห็นใบหน้าหนึ่งชะโงกจากข้างบน คิ้วดกหนา ตาสีน้ำตาลเข้ม แต่ปากมีสีเรื่ออ่อนๆ

ผู้หญิงเสื้อเชิ้ตสีขาวคนนั้นนั่นเอง

“พอจะลุกได้หรือยัง” ปากนั้นพูดกับฉัน

“ถ้าไหว มาจิบน้ำสักหน่อย”

ฉันกลืนน้ำลาย พยายามรวบรวมพละกำลัง ใจยังสั่นหวิวๆ เหมือนจะขาดรอนเสียให้ได้

“พี่เป็นลม” พะนาพูด

ฉันรู้แล้ว แต่ช่างน่าแปลก ที่ฉันเห็นใบหน้านั้นกลับหัวอยู่ พลันก็คิดได้ จะลุกพรวดขึ้น

“เดี๋ยว!” เสียงปราม และมีมือมารั้งตัวไว้

คนคนนั้นให้ฉันนอนหนุนตัก

สติกลับมาเกือบสมบูรณ์ ทันทีที่รับรู้แน่ชัดว่า คนแปลกหน้ายังคงโอบฉันพิงอกเอาไว้

 

“ตกใจหมดเลย นึกว่าพี่จะตายคาร้านเสียแล้ว”

พะนาพูด

เสียงหัวเราะอย่างขบขัน

“คิดขนาดนั้นเลยหรือ”

ฉันไม่เวียนหัวแล้ว และรู้สึกค่อยๆ ดีขึ้นหลังจากกินน้ำแดงเข้าไปเกือบหมดขวด ขยับตัวอีกหน วงแขนนั้นค่อยคลายออก

แต่ฉันยังนึกอับอาย แทบไม่กล้าขยับเขยื้อน ทั้งกลัวส่วนที่เปื้อนจะยังทะลักอยู่

“ไม่เป็นไรแล้ว” เอ่ยปากเบาๆ

พะนายื่นห่อกระดาษให้ทันที

“เอ้าพี่ ได้มาแล้ว แต่มีเหลือแค่สองแผ่น พรุ่งนี้เขาว่าจะเอามาเพิ่ม ค่อยไปซื้อใหม่”

ฉันแทบไม่กล้าสู้หน้า

“อะไรหรือ?” เสียงคนแปลกหน้าถาม

“โกเต๊ก พี่เขาเลือดออก” พะนาตอบอย่างฉาดฉาน “พี่ไปเปลี่ยนเลยก็ได้ เดี๋ยวหนูเก็บร้านเอง”

พะนารู้ว่าฉันพักอยู่ตรงไหน ถ้าเดินจากร้านไปก็ไม่ไกลมาก หากคงต้องรีบไปรีบมา เพราะจะได้เวลาปิดร้านแล้ว

ที่สำคัญ ฉันต้องรีบเดินไปให้เร็วที่สุด ไม่ให้ใครเห็นก้นเปื้อนเลือดแดง

“พี่เขาไม่ได้กินข้าวแต่เช้า” พะนาพูดกับคนที่อยู่ร่วม “เมื่อวานก็ไม่ค่อยกิน”

“…มิน่า”

ฉันยังนั่งนิ่ง รอจะให้คนคนนั้นออกจากร้านเสียก่อน จะได้ลุกขึ้นและเดินออกไป แต่คนในเสื้อขาวสะอาดก็ยังนั่งอยู่กับที่

ตามองดูฉัน

“พี่ไปซี” พะนากลับเป็นฝ่ายเร่งรัด “พี่เอาข้าวไปกินด้วยเลยก็ได้ วันนี้ไม่ต้องมาแล้ว”

แม้จะเพิ่งมาทำงานด้วยกัน พะนาก็มีน้ำใจกับฉันจนคาดไม่ถึง

อาหารแต่ละมื้อนั้น อีพี่สร้อยสายให้เอาเงินจากขวดโหลไปซื้อเอาที่ร้านข้างล่าง แต่ต้องลงบัญชีเอาไว้ นางให้ฉันกับพะนาคนละสิบบาทต่อวัน หากจะกินมากกว่านั้นต้องออกเอง

พะนาจึงบอกว่าจะห่อข้าวมาจากบ้าน เพื่อจะได้เก็บเงินสิบบาทเข้ากระเป๋าอีกทาง แต่ตัวฉันนั้นการใช้เงินสิบบาทกับอาหารสามมื้อ คิดดูแล้ว คงไม่แคล้วต้องซื้อไข่ไว้เป็นหลักจึงจะพออิ่มได้

แต่วันที่ปากไม่อยากสิ่งใด ต่อให้มีข้าวผัดหรือก๋วยเตี๋ยว ก็ไม่อยากเคี้ยวอยากกลืน

ไหนจะกินน้ำขวดไปแล้ววันนี้…จะตกขวดละเท่าไหร่

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่หิว” ฉันตอบพะนาออกไป

“อย่างนี้แหละเลยเป็นลม” เด็กหญิงฉลาดพูดขึ้นมา

“จะไปทางไหนล่ะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง” คนแปลกหน้าเอ่ยขึ้น

 

ฉันไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไร ยามที่เดินเอากระดาษหนังสือพิมพ์บังก้น แล้วพยายามเคลื่อนที่ไปให้เร็วที่สุด โดยไม่อาจปฏิเสธคนที่เดินตามหลังได้

เดินเร็วเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็จ้ำเท้าตามทันอยู่เสมอ

จมูกยังได้กลิ่นของกุหลาบที่กำซาบเข้าไปในจมูก ที่ปลุกฉันขึ้นจากการหลับใหลกะทันหันนั้น…คิดได้อย่างไรกัน เด็ดดอกกุหลาบมาถูหน้าคนเป็นลม

จนถึงขอบทางที่จะลงบันไดดินไปสู่ห้องพัก ยังมีแสงตะวันอยู่ จึงมองเห็นขั้นทางเดินชัดเจน และเห็นหลังคาสังกะสีที่มีแต่ใบไม้แห้งร่วงทับถม

…บริเวณหน้าห้องอีกเล่า รกสูงด้วยพงหญ้า และใบไม้ที่ยังร่วงลงมาไม่หยุดหย่อน

นั่นยังไงล่ะ ห้องพักคับแคบ ที่ซุกหัวนอนของฉัน

“อยู่หลังนั้นหรือ” คนแปลกหน้าเคลื่อนเข้ามาใกล้ จนมายืนอยู่เคียงข้าง

“…ค่ะ” ฉันพยักหน้า นึกหาคำพูดต่อ อยากจะบอกว่า ไปได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้จังหวะ

“ขอเข้าไปดูหน่อยได้ไหม”

ฉันผิดแผนกับคำพูดนั้น กล้องถ่ายรูปถูกยกขึ้น ยินเสียงกดชัตเตอร์

“เขาไม่ให้ถ่ายรูป” ฉันรีบบอก “ถ่ายได้แต่ทางข้างนอกโน้น”

“ทำไมล่ะ”

ฉันตอบไม่ได้ รู้แต่ว่าเป็นหนึ่งในคำสั่งที่อีพี่สร้อยสายกำชับไว้ นักท่องเที่ยวจะอยู่ได้แต่ในบริเวณสวนดอกไม้ และตอนกลางวันจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูด้วยซ้ำ ห้ามไม่ให้เข้าไปถึงด้านใน

ใกล้ๆ กับที่ฉันอยู่ แต่ขึ้นเนินไปอีก จะมีบ้านอีกหลัง หรืออาจจะหลายหลังไม่รู้ได้ วันที่พามา ดูเหมือนอีพี่สร้อยสายจะหายเข้าไปพักในบ้านหลังแรก อัมพรนั่นเองที่เล่าว่า ในนั้นจะปูพรมสีแดง มี “ฮี้ดเต้อ” เป็นกล่องใส่ไฟฟ้า ยามหนาวจะทำให้ทั้งห้องอบอุ่นขึ้นมาได้ ห้องส้วมก็ไม่ต้องนั่งยองๆ เป็นแบบนั่งหย่อนขา

อัมพรเคยได้ไปพัก ด้วยบารมีของผัวอีพี่สร้อยสาย แต่คนที่มาเป็นลูกจ้าง จะได้พักในห้องที่ฉันอยู่ตอนนี้เท่านั้น

“ไม่มีอะไรหรอก” ฉันกลั้นใจบอกคนที่ยังยืนมองโน่นนี่ “แค่ห้องพัก”

“ก็นั่นล่ะ ขอไปดูหน่อยไม่ได้หรือคะ โชคดีมากเลยนะ ได้พักอยู่บนนี้”

คำว่า “คะ” เป็นสำเนียงน่าฟัง

แต่โชคดีตรงไหนกัน ฉันอดนึกต่อคำในใจไม่ได้ หากมีทางเลือกมากกว่านี้ ฉันคงรีบไปจากที่นี่ไปเร็วๆ

แดดรอนแสงลงทุกที ถ้าชักช้ากว่านี้ คนคนนี้อาจจะกลับออกไปไม่ทัน เพราะอีกสักประเดี๋ยวเจ้าหน้าที่ก็ต้องมาแจ้งให้คนเตรียมตัวกลับออก เมื่อสวนปิดแล้วคนนอกก็เข้าอีกไม่ได้

“ระวังคุณจะออกไม่ทัน”

“ทันสิ” ยังยกข้อมือดูนาฬิกา “นะ เด็กดี”

นานแค่ไหนกันที่ไม่มีคนเรียกฉันอย่างนั้น “…เด็กดี”…คำคำนี้ เคยมีอยู่สองคนที่ใช้กับฉัน หนึ่งคือเฮียสมพงศ์ อีกคนคือครูลินดา…ซึ่งทั้งคู่ คือคนที่ฉันไม่อาจจะอยู่ด้วยได้

และยังไม่อาจลืม…

ชำเลืองดูหน้าขาวๆ อดนึกระแวงไม่ได้ แต่ก็เห็นเพียงใบหน้าผ่องใส คิ้วเลิกขึ้นอย่างมีคำถาม

นึกจนปัญญาจะห้ามอีก

ได้แค่แอบหวังว่า เมื่อเห็นห้องแล้ว คงจะรีบกลับขึ้นไป

“งั้นก็ลองดู” ฉันพูดห้วนๆ “คุณลงไปก่อน”

ไม่รอช้า ผู้หญิงในเสื้อเชิ้ตขาวก็ย่ำเท้าลงไปอย่างรวดเร็ว แต่สำหรับตัวฉัน ขายังสั่นอยู่ เพิ่งรู้ตัวเมื่อก้าวลงตามบันไดดิน อาจเพราะกังวลกับก้นที่เลอะเทอะ รู้ว่าเลือดยังไหลเหนอะหนะอยู่เต็มซอกขา

ไขกุญแจเข้าห้องแล้ว รีบบอกคนที่ตามหลังมาว่า

“คุณดูเลย ไม่มีอะไรหรอก”

จากนั้นรีบคว้าผ้าเปลี่ยน พุ่งเข้าในห้องส้วม

 

ในส้วม…แค่ถอดกางเกงออก ก็รู้สึกถึงความคาวและเลือดทั้งเก่าใหม่ที่ยังไหลย้อยหยาดริน ผ้าซิ่นฉีกอุ้มประจำเดือนจนเต็มปรี่ คลี่ออก มีทั้งก้อนที่ดำคล้ำกับก้อนแดงใหม่ๆ

แต่มันก็คือเลือดของตัวฉัน

ความเดือดร้อนของฉัน

รีบแกะห่อกระดาษเอาผ้าอนามัยออกมา แต่ว่า…ยังคงมีสิ่งที่ผิดพลาดอยู่

จนเมื่อเดินออกมา คนที่นั่งบนเก้าอี้ขาเกก็ทักขึ้นว่า

“…ทำไมนานนัก กำลังห่วงพอดี นึกว่าเป็นลมอยู่ข้างในอีก”

แสงแดดใกล้จะลับลงทุกที แต่ยังเหลือแสงที่ส่องลอดเข้ามาทางประตูเปิดอ้า คนผิวขาวผ่อง ช่างดูงามสง่า แม้แต่เสี้ยวหน้าที่เบือนมอง…

คนคนนี้ มาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร

“ไม่มีอะไรแล้ว คุณออกไปเถอะ” ฉันพูดออกไป

ในตัวคือกางเกงในที่เปียกชื้น เพราะฉันไม่มีตัวอื่นให้เปลี่ยนอีก ได้แต่ซักมันด้วยน้ำกับสบู่เท่าที่มี บิดให้หมาดที่สุด เพื่อที่จะวางโกเต๊กได้

ดึงเข้าเอว นุ่งกางเกงอีกตัวทับ ซักแถบผ้าซิ่นผึ่งพาดไว้ด้วย อย่างน้อยๆ ฉันคงเก็บกักเลือดประจำเดือนได้อีกครึ่งคืน

โกเต็กอีกแผ่น จะเอาไว้ใช้ในวันพรุ่งนี้

“…น้องนอนที่นี่หรือ” คนแปลกหน้ากลับยังกวาดตามองไป “พักอยู่กับใคร”

“คนเดียว” ฉันตอบ

“คนเดียว?” มีเสียงราวประหลาดใจ “อีกคนล่ะ”

คงหมายถึงพะนา

“กลับไปนอนบ้าน พรุ่งนี้ถึงจะมาใหม่”

มีแววตาที่แปลกไป ในดวงตาที่มองดูฉัน ที่แน่ๆ ไม่เคยมีใครมองฉันแบบนั้นมาก่อน แม้กระทั่งครูลินดา หรือระริน…

มันเป็นความพิศวงสงสัย ความใคร่รู้ใคร่เห็น เหมือนฉันเป็นของประหลาดนักหนา

“น้องอยู่คนเดียวจริงๆ หรือ”

“ก็จริงนะสิ” ฉันตอบ “คุณไปได้แล้ว เดี๋ยวจะเลยเวลาปิด”

“…แล้วอยู่ยังไง”

ฉันไม่เข้าใจคำถามนั้นสักเท่าไหร่

“ก็อยู่อย่างนี้ คุณไปเถอะ…ขอบคุณมากนะคะ ที่ช่วยเหลือฉัน”

“เธออยู่แบบนี้ได้ยังไง” คนแปลกหน้ายังพูดอีก และมองไปรอบห้อง

แสงแดดเริ่มจางแสงลงเรื่อยๆ และอีกไม่ช้า อุณหภูมิจะลดต่ำลงอย่างรวดเร็วเหมือนวันวาน

“…ขอพี่พักกับเธอได้หรือเปล่า คืนนี้” ไม่พูดเปล่ายังล้วงกระเป๋าหลังกางเกง ควักของสิ่งหนึ่งออกมา “เดี๋ยวพี่ให้ค่าห้อง…”

ฉันมองดูใบแดงในมือคนแปลกหน้า เงยหน้าขึ้นดูคนพูดอีกครั้ง

“ถ้าไม่ต้องกลับออกไปตอนนี้ ก็ไม่มีใครรู้นี่ว่าพี่ยังอยู่…”