ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 ตุลาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ที่ได้ชื่อว่าขยันในการตำหนิคนอื่นพอๆ กับเจนจัดด้านสดุดีตัวเอง
ห้าปีที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ คือห้าปีแห่งการด่าลับหลังผู้นำประเทศทุกคนและพรรคการเมืองทุกพรรคอย่างไม่มีเว้น
รวมทั้งเป็นห้าปีที่ พล.อ.ประยุทธ์ยัดเยียดให้ประชาชนฟังว่าท่านเสียสละ, ทุ่มเท, เสี่ยงภัย ฯลฯ กว่าทุกคน
คุณประยุทธ์ไม่ใช่นายกฯ ที่ผลงานดีจนประชาชนจดจำ และถ้าเทียบคุณประยุทธ์กับอดีตนายกฯ ที่ประชาชนยอมรับคนอื่นๆ
ภาพความเป็นผู้นำที่ไร้ผลงานก็ยิ่งแจ่มชัดเหมือนน้ำครำหยดกลางผ้าขาวบริสุทธิ์
พฤติกรรมอวยตัวเองแบบนี้จึงมีคนเชื่อน้อยมาก ต่อให้คุณประยุทธ์จะโฆษณาชวนเชื่อแค่ไหนก็ตาม
คุณประยุทธ์ไม่เคยรีรอที่จะแสดงความชังคุณทักษิณ ชินวัตร และคนที่คุณประยุทธ์ถือเป็น “พวกทักษิณ”
ตั้งแต่คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร , คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, คนอยากเลือกตั้ง ฯลฯ
แต่การด่าลับหลังข้างเดียวที่จบด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายคุณประยุทธ์ในการเลือกตั้ง 2562 ก็เป็นหลักฐานว่าคำพูดของคุณประยุทธ์มีน้ำหนักต่อคนฟังน้อยเหลือเกิน
เพื่อที่จะทำให้ประชาชนเกลียด “พวกทักษิณ” อย่างที่คุณประยุทธ์ต้องการ ห้าปีที่คุณประยุทธ์มีอำนาจคือห้าปีของการโจมตี “พวกทักษิณ” ด้วยการยัดข้อหา, ด่าลับหลัง รวมทั้งโจมตีนโยบายต่างๆ
ไล่มาตั้งแต่เรื่องจำนำข้าวที่มีรูรั่วให้วิจารณ์ได้มาก หรือไม่ก็คือนโยบายบัตรทองที่แทบไม่มีอะไรให้วิพากษ์ได้เลย
ถ้านับตั้งแต่ปีแรกที่คนส่วนใหญ่เลือกพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลจนคุณทักษิณได้เป็นนายกฯ ในปี 2544
ห้าปีที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ คือห้าปีที่อำนาจรัฐคุกคามนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ “บัตรทอง” จนความกังวลว่ารัฐบาลจะ “ล้มบัตรทอง” ทวีความรุนแรงขั้นที่ไม่เคยเกิดในยุครัฐบาลไหนเลย
ประเทศไทยหลังปี 2544 มีนายกฯ และรัฐบาลซึ่งมาจากทุกขั้วการเมือง แต่ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ จากฝั่งทักษิณอย่างคุณยิ่งลักษณ์, คุณสมัคร สุนทรเวช และคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือจะเป็นนายกฯ จากฝั่งต้านทักษิณอย่างองคมนตรีสุรยุทธ์ จุลานนท์ และคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่มีใครโจมตีบัตรทองและแสดงท่าทีมุ่งมั่นล้มบัตรทองเท่า พล.อ.ประยุทธ์ทำ
คำผรุสวาทของคุณประยุทธ์ว่าบัตรทองเป็นภาระรัฐบาล, เปลืองเงิน, หารายได้ไม่ได้, ทำโรงพยาบาลเจ๊ง, ไม่มีประเทศไหนทำ
หรือเป็น “ประชานิยมบิดเบือน” ทำให้คนไทยรับรู้ว่าคุณประยุทธ์รังเกียจบัตรทองอยู่แล้ว แต่นอกจากมุสาวาจาที่น่าอัปยศ คุณประยุทธ์ยังทำหลายอย่างที่ทำให้บัตรทองอ่อนแอลงด้วยจริงๆ
ด้วยอคติกับบัตรทองเป็นเจ้าเรือน คุณประยุทธ์ตั้งคณะกรรมการปฏิรูปบัตรทองจากข้าราชการและหมอที่ต่อต้านบัตรทองทั้งสิ้น
สถานะทางสังคมของคนกลุ่มนี้ทำให้บัตรทองถูก “ปฏิรูป” โดยชนชั้นที่ไม่เคยใช้บัตรทอง
และแม้แต่ประชาชนที่ร่วมแสดงความเห็นก็ถูกกีดกันจนต้องออกจากเวทีประชาพิจารณ์ทุกเวที
ห้าปีของ พล.อ.ประยุทธ์เป็นห้าปีที่งบฯ บัตรทองเพิ่มในทิศทางที่ลดลงเรื่อยๆ
จนเกิดแนวโน้มของการ “เพิ่มงบฯ แบบถดถอย” ไม่ต้องพูดถึงสัดส่วนงบประมาณบัตรทองที่น้อยมากเมื่อเทียบกับงบประมาณทั้งหมดของประเทศ
และเทียบไม่ได้เลยกับรายได้จากผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของประเทศไทยในแต่ละปี
วิธีคิดและมาตรการต่างๆ ที่คุณประยุทธ์กระทำต่อบัตรทองตลอดห้าปีทำให้พฤติกรรม “โหนบัตรทอง” ที่คุณประยุทธ์ทำนอกประเทศเป็นเรื่องอัปยศ
เพราะไม่เพียงแต่คุณประยุทธ์จะทำเหมือนตัวเองเป็นเจ้าของนโยบาย
คุณประยุทธ์ยังแสดงออกต่อหน้าชาวโลกอย่างไม่อายว่าตัวเองสนับสนุนนโยบายบัตรทอง
ทันทีที่คุณประยุทธ์เข้าสู่ที่ประชุมระดับสูงด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปฏิสัมพันธ์ที่โลกมีต่อคุณประยุทธ์คือปฏิกิริยาต่อความสำเร็จของประเทศไทยทำเรื่องบัตรทองเกือบยี่สิบปีแล้ว
ความอดสูของเรื่องจึงเริ่มต้นเมื่อคุณประยุทธ์แสดงออกว่าโลกชื่นชมคุณประยุทธ์เพราะคุณประยุทธ์ทำนโยบายสำเร็จอย่างดี
วินาทีที่คุณประยุทธ์เอาหน้าจากนโยบายบัตรทองคือ
วินาทีที่คุณประยุทธ์ยอมรับว่านโยบายของคุณทักษิณถูก ส่วนการปฏิรูปบัตรทองที่คุณประยุทธ์ทำนั้นผิด
วิญญูชนที่ฉลาดจึงควรตระหนักว่าต้องยุติการปฏิรูปบัตรทองแบบบ้าๆ บอๆ ที่รัฐบาลทำมาตลอดห้าปี
ไม่ใช่ไปเอาหน้ากับต่างประเทศ แต่ทำเรื่องไม่ฉลาดในไทย
ขณะที่ห้าปีของ พล.อ.ประยุทธ์คือห้าปีของความพยายามล้มบ้ตรทอง หรือตอนไม่ให้โตด้วยวิธีต่างๆ นโยบายที่สังคมโจมตีว่าเป็นประชานิยมบิดเบือนอย่าง “บัตรคนจน” คือนโยบายที่คุณประยุทธ์ผลักดันต่อเนื่องจากประยุทธ์ 1 ที่ได้อำนาจด้วยกระบอกปืนสู่ประยุทธ์ 2 ที่ได้อำนาจโดยประชาชนไม่ได้เลือกเข้ามา
หากคุณประยุทธ์เป็นคนที่ช่างคิดและรู้จักตรวจสอบตัวเอง
คำถามที่คุณประยุทธ์ควรคิดคือทำไมโลกยอมรับนโยบายบัตรทองที่คุณประยุทธ์ต่อต้านจนต้องโหนกระแสเอาหน้า
ส่วนนโยบายบัตรคนจนของคุณประยุทธ์เองกลับไม่มีใครในโลกยอมรับ
จนแม้คุณประยุทธ์ก็ไม่เอานโยบายนี้ไปประโคมในเวทีโลกเลย?
บัตรทองของคุณทักษิณประสบความสำเร็จระดับโลกเพราะเป็นสัญลักษณ์ว่าสุขภาพและชีวิตของประชาชนคือภาระของรัฐบาล ยิ่งไปกว่านั้นคือบัตรทองปักหมุดว่ารัฐบาลสามารถสร้างแลสาธารณสุขโดยวิธีบริหารอุปทานด้านการแพทย์ได้ ต่อให้จะเป็นรัฐบาลในประเทศที่ไม่ได้ร่ำรวยนักก็ตาม
บัตรทองบอกโลกว่ารัฐบาลต้องเปลี่ยนบทบาทตัวเองเป็นรัฐที่บริการประชาชน
ส่วนความสำเร็จของบัตรทองที่คงอยู่ในไทยมาเกือบสองทศวรรษคือหลักฐานว่านโยบายสาธารณะเรื่องนี้ทำได้ หากมีการบริหารจัดการด้านงบประมาณที่สมเหตุสมผล
รวมทั้งมีรัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นเพื่อประชาชนจริงๆ
สรุปแบบสั้นที่สุด บัตรทองประสบความสำเร็จเพราะเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนบทบาทภาครัฐ
เป็นหลักฐานว่านโยบายสาธารณะที่มุ่งจัดงบประมาณเพื่อหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้านั้นเป็นไปได้
รวมทั้งเป็นเส้นแบ่งของรัฐบาลที่ทำเพื่อประโยชน์สาธารณะจริงๆ จากรัฐบาลที่มีอำนาจเพื่อรักษาอำนาจของผู้นำ
ขณะที่บัตรทองคือตัวอย่างของนโยบายสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชน
บัตรคนจนของรัฐบาลคือตัวอย่างของนโยบายสาธารณะที่ทำเพื่อประชาชนน้อยมาก
ภาพรวมของบัตรเกิดขึ้นเพื่อลดงบประมาณสวัสดิการประชาชนด้านขนส่งและการสาธารณสุข
ไม่ใช่เพื่อเพิ่มบทบาทรัฐในการบริการประชาชน
ตรงกันข้ามกับรัฐบาลที่ประกาศว่า “บัตรคนจน” คือ “บัตรสวัสดิการ” สาเหตุที่รัฐบาลประยุทธ์สร้างบัตรนี้คืออคติว่านโยบายสวัสดิการของ “ฝ่ายทักษิณ” อย่างรถเมล์ฟรี, รถไฟฟรี, บัตรทอง ฯลฯ เป็นภาระรายจ่ายที่รัฐบาลต้องจัดงบไม่สิ้นสุด
ผลก็คือรัฐบาลประยุทธ์ยกเลิกสวัสดิการถ้วนหน้าด้านนี้เท่าที่ทำได้ทันที
บัตรคนจนเป็นผลผลิตของรัฐบาลที่เขลาจนไม่เห็นว่าการแบ่งเบาภาระด้านรายจ่ายคือการทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นโดยปริยาย
มิหนำซ้ำผู้มีอำนาจยังไม่เห็นหัวประชาชนจนมองว่ารัฐบาลไม่ควรแบ่งเบาภาระประชาชนด้วย
ไม่ต้องพูดถึงการใช่เงินประชาชนหาเสียงผ่านบัตรคนจนเพื่อสืบทอดอำนาจรัฐบาล
บัตรคนจนคือสัญลักษณ์ของอัปลักษณะทางนโยบายที่รัฐบาลปฏิปักษ์ประชาธิปไตยทำเพื่อหาเสียงล่วงหน้า เมื่อใดที่เห็นบัตรนี้ เมื่อนั้นสิ่งที่ทุกคนพึงเห็นคือ “ประชานิยมบิดเบือน” ที่ตัดสวัสดิการถ้วนหน้า, กันเงินไปทำเรื่องอื่น แล้วเอาเศษเงินที่เหลือมาแจกให้คนจนเดือนละ 300 เท่ากับค่าแรงวันเดียว
ถ้าบัตรทองคือความภาคภูมิใจทางนโยบายที่ต้องเดินหน้าต่อไป บัตรทองคือความอัปยศทางนโยบายนี้ต้องเปลี่ยนแปลงเป็นการจัดงบฯ สวัสดิการให้ประชาชนถ้วนหน้ามากขึ้น รวมทั้งจัดงบฯ ต่อเดือนให้ประชาชนสูงขึ้นด้วย
ไม่ใช่ลดเงินสวัสดิการไปซื้ออาวุธแล้วโยนเศษเนื้อข้างเขียงหลอกประชาชน
บนเส้นทางที่นโยบายบัตรทองของไทยเป็นแรงบันดาลให้โลกเดินหน้าสู่หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทิศทางที่ต้องเดินหน้าต่อไปคือการสร้างความจีรังให้กับระบบบัตรทองผ่านสามเรื่องด้วยกัน หนึ่งก็คือทำให้ประเทศมีระบบประกันสุขภาพเสมอภาค นั่นก็คือทุกคนเข้าถึงได้ และทุกคนได้บริการเท่าเทียมกัน
ทุกวันนี้รัฐบาลจัดงบฯ รักษาพยาบาลข้าราชการคนละราว 13,000 บาท/ปี ขณะที่งบฯ บัตรทองประชาชนอยู่ที่คนละ 3,600 บาท ช่องว่างที่ห่างกันสามเท่าต้องถูกเปลี่ยนแปลงโดยดึงเงินทั้งหมดมาเป็นกองเดียวเพื่อให้ทุกคนได้งบฯ ต่อหัวใกล้เคียงกันขึ้น ไม่ใช่ประชาชนผู้เสียภาษีได้งบฯ ต่ำกว่าคนกินภาษีประชาชนสามเท่าตัว
เพื่อจะสร้างระบบบัตรทองที่ยั่งยืนต่อไป รัฐบาลจำเป็นต้องปฏิรูปงบฯ บัตรทองให้มีสัดส่วนสูงขึ้นเมื่อเทียบกับงบประมาณประเทศ ยิ่งกว่านั้นคือการเพิ่มงบฯ บัตรทองให้สูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับ GDP หรือรายได้ที่ประเทศทำได้จากสินค้าและบริการทั้งหมด
โดยเรื่องแบบนี้ต้องเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐอย่างชัดเจน
พล.อ.ประยุทธ์อยากจะโหนบัตรทองโดยปราศจากการอายอย่างไรก็ได้
แต่หลังจากโหนจนได้หน้าแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ควรสรุปบทเรียนว่าโลกยกย่องบัตรทองเพราะอะไร ทำไมบัตรคนจนถึงไม่มีคนยกย่องแบบนี้ และทำอย่างไรที่จะเปลี่ยนคำยกย่องของโลกเป็นนโยบายเพื่อประชาชนจริงๆ อย่างรัฐบาลอื่นเคยทำ
หลังจากควบคุมวุฒิภาวะทางอารมณ์เสร็จสิ้นตามหนังสือภาษาอังกฤษที่แอ๊กชั่นถ่ายรูป นายกฯ กูเกิลเอาเวลาไปกูเกิลอ่านเรื่องบัตรทองอย่างจริงจังบ้างก็ได้
อ่านรายงานขององค์การอนามัยโลกหรืองานวิชาการภาษาอังกฤษอื่นๆ บ้างก็ดี
อย่าอ่านแต่เพจง่อยๆ หรือเว็บที่ให้แต่ข้อมูลเท็จของกลุ่มต้านบัตรทอง