ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 ตุลาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ในประเทศ |
เผยแพร่ |
ในประเทศ
เลือกซ่อม
ยุทธศาสตร์เปลี่ยน ‘ดุล’
ชัดเจนแล้วว่า การเลือกตั้งซ่อม น่าจะเกิดขึ้นประมาณ 4 เขต
ที่แน่นอนแล้วคือการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครปฐม เขตเลือกตั้งที่ 5
เนื่องจากนางจุมพิตา จันทรขจร ส.ส.นครปฐม พรรคอนาคตใหม่ ลาออก หลังประสบอุบัติเหตุจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเสนอสั่งเลือกตั้งใหม่ 23 ตุลาคมนี้
ส่วนอีก 3 เขตยังอยู่ระหว่างการรอผลชี้ขาดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
แต่ก็มีแนวโน้มสูงที่จะต้องมีการเลือกตั้งใหม่
คือกรณีศาลจังหวัดขอนแก่นตัดสินประหารชีวิตนายนวัธ เตาะเจริญสุข ส.ส.เขต 7 ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย
จากคดีจ้างวานฆ่านายสุชาติ โคตรทุม อดีตปลัด อบจ.ขอนแก่น เหตุเกิดเมื่อปี 2556
ทั้งนี้ ศาลไม่ให้ประกันตัว ต้องส่งตัวเข้าเรือนจำทันที
ขณะนี้กำลังรอว่า กกต.จะชี้ขาดว่า สถานภาพการเป็น ส.ส.ของนายนวัธ สิ้นสุดลงหรือไม่ เพื่อกำหนดวันเลือกตั้งต่อไป
หรือจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อน
ส่วนอีก 2 เขต คือ จ.กำแพงเพชร เขต 2 พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ พรรคพลังประชารัฐ
กำลังรอผลคำตัดสิน คดีบุกล้มการประชุมอาเซียน ที่โรงแรมรอยัลคลิฟบีชรีสอร์ท เมืองพัทยา สมัยเป็นแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อ 11 เมษายน 2552
ที่ผ่านมา ศาลได้อ่านคำพิพากษาในส่วนของจำเลยอื่นๆ แล้ว ล้วนแต่ต้องโทษจำคุกอย่างน้อย 4 ปี
ส่วน พ.ต.ท.ไวพจน์ ศาลนัดอ่านวันที่ 30 ตุลาคม ซึ่งก็ได้รับการคาดหมายว่า น่าจะประสบชะตากรรมเดียวกัน
คงต้องมีการเลือกตั้งซ่อม
อีกเขตที่ต้องมีการเลือกตั้งคือ กรณี กกต.มีมติแจกใบเหลืองนายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก ส.ส.เขต 5 สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ เมื่อ 24 กันยายนที่ผ่านมา
เหตุคนใกล้ชิดใส่เงินช่วยงานศพ เข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 73(1) จูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ลงคะแนนให้แก่ตนเอง
ตอนนี้กำลังรอการตัดสินจากศาลเป็นขั้นสุดท้าย ซึ่งนายกรุงศรีวิไลคงต้องลุ้นหนัก
แต่ดูเหมือนพรรคการเมืองต่างๆ เคลื่อนไหว เตรียมตัวเพื่อการเลือกตั้งใหม่อย่างคึกคัก
ความคึกคักทั้ง 4 เขตเลือกตั้งดังกล่าว ก็คงสืบเนื่องมาจากการที่ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ต่างมีเสียงปริ่มน้ำ ในการที่จะพลิกเป็นเสียงข้างมาก และเสียงข้างน้อย
ดังนั้น เสียง ส.ส.ที่เพิ่มหรือลด จึงมีความหมาย
โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาล ต้องการเสียงเพิ่มอย่างยิ่ง เพราะที่มีอยู่ในปัจจุบันหมิ่นเหม่ที่จะคว่ำในสภาอย่างมาก
นอกจากปฏิบัติการดูดอย่างที่กล่าวขานกันแล้ว
การเพิ่ม ส.ส.จากการเลือกตั้งซ่อม ก็เป็นสิ่งสำคัญ จึงต้องสู้เต็มที่ และวางยุทธศาสตร์ให้ดี
ซึ่งคงเริ่มตั้งแต่สนามเขต 5 จ.นครปฐม สนามแรกเลยทีเดียว
เป็นที่น่าสังเกตว่า ตอนแรกมีกระแสข่าวว่า พรรคร่วมรัฐบาลมีข้อตกลงที่จะส่งผู้สมัครเพียงพรรคเดียว โดยเป็นผู้สมัครที่มีโอกาสมากที่สุด เพื่อไม่ให้มาแข่งกันเอง
หากยึดตามหลักนี้ ก็คงต้องพิจารณาผลการเลือกตั้งเมื่อ 24 มีนาคมที่ผ่านมา
กล่าวคือ
ที่ 1 นางจุมพิตา จันทรขจร ได้คะแนนสูงสุด 34,164 คะแนน
ที่ 2 นายสุรชัย อนุตธโต พรรคประชาธิปัตย์ 18,970 คะแนน
ที่ 3 นายระวัง เนตรโพธิ์แก้ว พรรคพลังประชารัฐ 18,741 คะแนน
ที่ 4 นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ พรรคชาติไทยพัฒนา 12,279 คะแนน
พิจารณาตามนี้ นายสุรชัย อนุตธโต พรรคประชาธิปัตย์ น่าจะเป็นตัวแทนพรรคฝ่ายรัฐบาล
แต่เอาเข้าจริง เมื่อมีการเปิดรับสมัคร พรรคชาติไทยพัฒนาได้อ้างเหตุผลความเป็นเจ้าของพื้นที่เดิม จึงตัดสินใจส่งนายเผดิมชัยแก้มือ
สร้างความไม่พอใจให้กับพรรคประชาธิปัตย์และพรรคพลังประชารัฐ ที่พรรคชาติไทยพัฒนาไม่ทำตามที่พูดคุย โดยอ้างว่าไม่เคยมีมติเรื่องอย่างเป็นทางการ
ทำให้นายสุรชัยและนายเผดิมชัยต้องมาแย่งคะแนนกันเอง ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล
กลายเป็นจุดอ่อนให้กับฝ่ายรัฐบาลในทันที
เมื่อพรรคเพื่อไทยได้เปิดโอกาสพรรคอนาคตใหม่รักษาเก้าอี้ ส.ส.เดิม โดยไม่ส่งผู้สมัคร จึงไม่ต้องมาแย่งคะแนนกันเอง
แม้ว่าจะมีบางพรรคใน 7 พรรคร่วมได้ส่งผู้สมัครด้วย เช่น เสรีรวมไทย
แต่โอกาสดึงคะแนนกันเองก็ดูจะไม่เท่าในฟากรัฐบาล
แนวร่วมฝ่ายค้านดูจะเป็นเอกภาพกว่า
และที่น่าสนใจ นอกจากจะไม่ส่ง ส.ส.ลงซ้ำซ้อนแล้ว
ดูเหมือนแนวร่วมฝ่ายค้านจะวางยุทธศาสตร์ในการชิงเก้าอี้ ส.ส.คราวนี้ ผูกกับแนวทาง “การเมือง” หลักด้วย
โดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ประกาศว่า การเลือกตั้งซ่อมเขต 5 นครปฐมในวันที่ 23 ตุลาคม เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลง
“ชาวสามพรานจะเปล่งเสียงดังๆ เป็นจุดแรก ว่าพอแล้วกับการเมืองสืบทอดอำนาจ การปกครองที่ไม่เห็นหัวประชาชน ประชาชนไม่ต้องการการเมืองแบบเดิม”
“ประชาชนไม่ได้โง่ เขารู้และเข้าใจว่าทำไมจึงได้นายกรัฐมนตรีที่เขาไม่ได้เลือก”
“ดังนั้น กลยุทธ์การหาเสียงที่นี่ ที่เป็นเขตแรกที่มีการเลือกตั้งซ่อม หลังจากนี้ยังมีพื้นที่อื่น หากที่นี่ส่งเสียงออกมาดังๆ และชนะ เราเชื่อว่าจะเป็นโดมิโนได้”
“มั่นใจว่าเลือกตั้งซ่อมที่ไหน ฝ่ายประชาธิปไตยจะชนะ”
จากคำประกาศนี้ ชัดเจนว่า พรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่ ไม่ได้หวังที่จะได้ ส.ส.กลับคืนมาเท่านั้น
แต่หมายถึง การขับไล่รัฐบาล และการไม่เอานายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย
โดยเชื่อว่าผลคะแนนที่ออกมาจะชี้วัดถึงการลงคะแนนอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์
และจะเป็นคำพิพากษาของประชาชนต่อพรรคที่ตระบัดสัตย์
“การเลือกตั้งของเขต 5 จ.นครปฐม จะเป็นการพิพากษาลงคะแนนไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลนี้ โดยอยากให้เสียงชาวสามพรานเป็นตัวแทนประชาชนในประเทศไทย ส่งเสียงออกไปให้ถึงผู้มีอำนาจว่าเราเอือมระอาเต็มที ยอมไม่ได้อีกต่อไปแล้วกับความไม่เป็นธรรม กับเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ คนตกงาน นี่คือเวลาของการเปลี่ยนแปลง” นายธนาธรระบุ
สอดคล้องกับนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่ระบุว่า การเลือกตั้งซ่อมวันที่ 23 ตุลาคม สำคัญ 3 ข้อคือ
- ความสำคัญต่อพรรคอนาคตใหม่ วันนี้พยายามปล่อยข่าวว่าไม่ต้องเลือกเรา พรรคจะถูกยุบ คะแนนจะทิ้งน้ำซึ่งโกหก เราจะยังอยู่ต่อ มีภารกิจต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกหลายยก
- ความสำคัญต่อการทำงานในสภาของฝ่ายค้าน ในสภาวะเสียงปริ่มน้ำ การมีเสียงเพิ่มจะทำให้การลงมติกฎหมายและเรื่องสำคัญผ่านสภาได้
- จะเป็นจุดเริ่มต้นแรกที่ทำให้รัฐบาลจากการสืบทอดอำนาจ คสช. กลายเป็นเสียงข้างน้อย ที่นี่เป็นจุดแรกของการเปิดประตูส่งเสียงพี่น้องฝ่ายประชาธิปไตยออกไป เป็นจุดเริ่มต้นที่อาจจะเปลี่ยนนายกฯ มาเป็นนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ ถ้าเราทำได้จะเป็นชัยชนะของพรรค ประชาธิปไตยและประเทศชาติ
ขณะที่พรรคเพื่อไทย นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคชี้ว่า หนึ่งเสียงของประชาชนในการเลือกตั้งซ่อมจะเป็นส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงดุลการเมืองในสภา
ถ้าฝ่ายค้านรักษาที่นั่งเขต 5 จ.นครปฐมได้ และชิงอีก 2 ที่นั่งของพรรคพลังประชารัฐมาได้
ดุลการเมืองจะเปลี่ยน
รวมถึงโอกาสการเปลี่ยนตัวนายกฯ ทำได้ทันที ประชาชนกำลังให้คำตอบว่าระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์กับรัฐธรรมนูญ สิ่งใดสร้างปัญหาให้ประเทศมากกว่ากัน
“ภายใน 1 ปีนี้ การเลือกตั้งซ่อมจะมีผลต่อการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ บางพรรคอาจมี ส.ส.เพิ่มขึ้นหรือลดลง สะท้อนคะแนนนิยมรัฐบาล ทุกสนามการเลือกตั้งซ่อมมีผลต่ออายุรัฐบาลประยุทธ์โดยตรง” โฆษกพรรคเพื่อไทยระบุ
ยุทธศาสตร์ที่ไปไกลกว่าชนะการเลือกตั้งซ่อม แต่พุ่งเป้าไปที่การเขย่ารัฐบาลและไล่ พล.อ.ประยุทธ์ นี้
ฝ่ายรัฐบาลก็คงมองออก
และคงต้องกดหรือทำลายยุทธศาสตร์นี้ลง เพื่อไม่ให้ขยายไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ
โดยพื้นที่เดิมของฝ่ายรัฐบาลคือ กำแพงเพชรและสมุทรปราการ จะต้องไม่สูญเสียให้กับพรรคฝ่ายค้าน
ดังนั้น เราคงได้เห็นการระดมสรรพกำลัง ทั้งผ่านพรรค และผ่านกลไกของรัฐบาล ลงไปพื้นที่กันเต็มที่
และแม้ถึง จ.นครปฐมจะขาดเอกภาพ แต่ฟากรัฐบาลก็เชื่อว่าด้วยศักยภาพของ “บ้านใหญ่” ที่นำโดยนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ หรือแม้แต่ผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์เอง ก็ไม่น่าจะทำให้พรรคอนาคตใหม่ได้ชัยชนะง่ายนัก
แถมยังมีโอกาสพลิกผันได้ เช่นเดียวกับพื้นที่ขอนแก่น โอกาสของพรรคพลังประชารัฐก็มีไม่ใช่น้อย
ศึกการเลือกตั้งซ่อมทั้ง 4 เขต จึงได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นไปอย่างดุเดือด
เพราะผลการเลือกตั้งที่ออกมา มิใช่แค่เขตเลือกตั้งนั้นเท่านั้น
แต่หากหมายถึงยุทธศาสตร์ใหญ่ เปลี่ยน “ดุล” ทางการเมือง ที่พรรคฝ่ายค้านชูขึ้นมาเป็นเป้าหมายที่จะฟันฝ่าไป
ซึ่งฝ่ายรัฐบาลก็คงต้องสู้ยิบตาเหมือนกัน
นั่นย่อมส่งผลให้สมรภูมิการเมืองร้อนระอุ!