ในประเทศ / เลือกซ่อม ยุทธศาสตร์เปลี่ยน ‘ดุล’

ในประเทศ

 

เลือกซ่อม

ยุทธศาสตร์เปลี่ยน ‘ดุล’

 

ชัดเจนแล้วว่า การเลือกตั้งซ่อม น่าจะเกิดขึ้นประมาณ 4 เขต

ที่แน่นอนแล้วคือการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครปฐม เขตเลือกตั้งที่ 5

เนื่องจากนางจุมพิตา จันทรขจร ส.ส.นครปฐม พรรคอนาคตใหม่ ลาออก หลังประสบอุบัติเหตุจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเสนอสั่งเลือกตั้งใหม่ 23 ตุลาคมนี้

ส่วนอีก 3 เขตยังอยู่ระหว่างการรอผลชี้ขาดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

แต่ก็มีแนวโน้มสูงที่จะต้องมีการเลือกตั้งใหม่

คือกรณีศาลจังหวัดขอนแก่นตัดสินประหารชีวิตนายนวัธ เตาะเจริญสุข ส.ส.เขต 7 ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย

จากคดีจ้างวานฆ่านายสุชาติ โคตรทุม อดีตปลัด อบจ.ขอนแก่น เหตุเกิดเมื่อปี 2556

ทั้งนี้ ศาลไม่ให้ประกันตัว ต้องส่งตัวเข้าเรือนจำทันที

ขณะนี้กำลังรอว่า กกต.จะชี้ขาดว่า สถานภาพการเป็น ส.ส.ของนายนวัธ สิ้นสุดลงหรือไม่ เพื่อกำหนดวันเลือกตั้งต่อไป

หรือจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อน

 

ส่วนอีก 2 เขต คือ จ.กำแพงเพชร เขต 2 พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ พรรคพลังประชารัฐ

กำลังรอผลคำตัดสิน คดีบุกล้มการประชุมอาเซียน ที่โรงแรมรอยัลคลิฟบีชรีสอร์ท เมืองพัทยา สมัยเป็นแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อ 11 เมษายน 2552

ที่ผ่านมา ศาลได้อ่านคำพิพากษาในส่วนของจำเลยอื่นๆ แล้ว ล้วนแต่ต้องโทษจำคุกอย่างน้อย 4 ปี

ส่วน พ.ต.ท.ไวพจน์ ศาลนัดอ่านวันที่ 30 ตุลาคม ซึ่งก็ได้รับการคาดหมายว่า น่าจะประสบชะตากรรมเดียวกัน

คงต้องมีการเลือกตั้งซ่อม

อีกเขตที่ต้องมีการเลือกตั้งคือ กรณี กกต.มีมติแจกใบเหลืองนายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก ส.ส.เขต 5 สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ เมื่อ 24 กันยายนที่ผ่านมา

เหตุคนใกล้ชิดใส่เงินช่วยงานศพ เข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 73(1) จูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ลงคะแนนให้แก่ตนเอง

ตอนนี้กำลังรอการตัดสินจากศาลเป็นขั้นสุดท้าย ซึ่งนายกรุงศรีวิไลคงต้องลุ้นหนัก

แต่ดูเหมือนพรรคการเมืองต่างๆ เคลื่อนไหว เตรียมตัวเพื่อการเลือกตั้งใหม่อย่างคึกคัก

 

ความคึกคักทั้ง 4 เขตเลือกตั้งดังกล่าว ก็คงสืบเนื่องมาจากการที่ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ต่างมีเสียงปริ่มน้ำ ในการที่จะพลิกเป็นเสียงข้างมาก และเสียงข้างน้อย

ดังนั้น เสียง ส.ส.ที่เพิ่มหรือลด จึงมีความหมาย

โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาล ต้องการเสียงเพิ่มอย่างยิ่ง เพราะที่มีอยู่ในปัจจุบันหมิ่นเหม่ที่จะคว่ำในสภาอย่างมาก

นอกจากปฏิบัติการดูดอย่างที่กล่าวขานกันแล้ว

การเพิ่ม ส.ส.จากการเลือกตั้งซ่อม ก็เป็นสิ่งสำคัญ จึงต้องสู้เต็มที่ และวางยุทธศาสตร์ให้ดี

ซึ่งคงเริ่มตั้งแต่สนามเขต 5 จ.นครปฐม สนามแรกเลยทีเดียว

เป็นที่น่าสังเกตว่า ตอนแรกมีกระแสข่าวว่า พรรคร่วมรัฐบาลมีข้อตกลงที่จะส่งผู้สมัครเพียงพรรคเดียว โดยเป็นผู้สมัครที่มีโอกาสมากที่สุด เพื่อไม่ให้มาแข่งกันเอง

หากยึดตามหลักนี้ ก็คงต้องพิจารณาผลการเลือกตั้งเมื่อ 24 มีนาคมที่ผ่านมา

กล่าวคือ

ที่ 1 นางจุมพิตา จันทรขจร ได้คะแนนสูงสุด 34,164 คะแนน

ที่ 2 นายสุรชัย อนุตธโต พรรคประชาธิปัตย์ 18,970 คะแนน

ที่ 3 นายระวัง เนตรโพธิ์แก้ว พรรคพลังประชารัฐ 18,741 คะแนน

ที่ 4 นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ พรรคชาติไทยพัฒนา 12,279 คะแนน

พิจารณาตามนี้ นายสุรชัย อนุตธโต พรรคประชาธิปัตย์ น่าจะเป็นตัวแทนพรรคฝ่ายรัฐบาล

แต่เอาเข้าจริง เมื่อมีการเปิดรับสมัคร พรรคชาติไทยพัฒนาได้อ้างเหตุผลความเป็นเจ้าของพื้นที่เดิม จึงตัดสินใจส่งนายเผดิมชัยแก้มือ

สร้างความไม่พอใจให้กับพรรคประชาธิปัตย์และพรรคพลังประชารัฐ ที่พรรคชาติไทยพัฒนาไม่ทำตามที่พูดคุย โดยอ้างว่าไม่เคยมีมติเรื่องอย่างเป็นทางการ

ทำให้นายสุรชัยและนายเผดิมชัยต้องมาแย่งคะแนนกันเอง ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล

กลายเป็นจุดอ่อนให้กับฝ่ายรัฐบาลในทันที

เมื่อพรรคเพื่อไทยได้เปิดโอกาสพรรคอนาคตใหม่รักษาเก้าอี้ ส.ส.เดิม โดยไม่ส่งผู้สมัคร จึงไม่ต้องมาแย่งคะแนนกันเอง

แม้ว่าจะมีบางพรรคใน 7 พรรคร่วมได้ส่งผู้สมัครด้วย เช่น เสรีรวมไทย

แต่โอกาสดึงคะแนนกันเองก็ดูจะไม่เท่าในฟากรัฐบาล

แนวร่วมฝ่ายค้านดูจะเป็นเอกภาพกว่า

 

และที่น่าสนใจ นอกจากจะไม่ส่ง ส.ส.ลงซ้ำซ้อนแล้ว

ดูเหมือนแนวร่วมฝ่ายค้านจะวางยุทธศาสตร์ในการชิงเก้าอี้ ส.ส.คราวนี้ ผูกกับแนวทาง “การเมือง” หลักด้วย

โดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ประกาศว่า การเลือกตั้งซ่อมเขต 5 นครปฐมในวันที่ 23 ตุลาคม เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลง

“ชาวสามพรานจะเปล่งเสียงดังๆ เป็นจุดแรก ว่าพอแล้วกับการเมืองสืบทอดอำนาจ การปกครองที่ไม่เห็นหัวประชาชน ประชาชนไม่ต้องการการเมืองแบบเดิม”

“ประชาชนไม่ได้โง่ เขารู้และเข้าใจว่าทำไมจึงได้นายกรัฐมนตรีที่เขาไม่ได้เลือก”

“ดังนั้น กลยุทธ์การหาเสียงที่นี่ ที่เป็นเขตแรกที่มีการเลือกตั้งซ่อม หลังจากนี้ยังมีพื้นที่อื่น หากที่นี่ส่งเสียงออกมาดังๆ และชนะ เราเชื่อว่าจะเป็นโดมิโนได้”

“มั่นใจว่าเลือกตั้งซ่อมที่ไหน ฝ่ายประชาธิปไตยจะชนะ”

 

จากคำประกาศนี้ ชัดเจนว่า พรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่ ไม่ได้หวังที่จะได้ ส.ส.กลับคืนมาเท่านั้น

แต่หมายถึง การขับไล่รัฐบาล และการไม่เอานายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย

โดยเชื่อว่าผลคะแนนที่ออกมาจะชี้วัดถึงการลงคะแนนอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์

และจะเป็นคำพิพากษาของประชาชนต่อพรรคที่ตระบัดสัตย์

“การเลือกตั้งของเขต 5 จ.นครปฐม จะเป็นการพิพากษาลงคะแนนไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลนี้ โดยอยากให้เสียงชาวสามพรานเป็นตัวแทนประชาชนในประเทศไทย ส่งเสียงออกไปให้ถึงผู้มีอำนาจว่าเราเอือมระอาเต็มที ยอมไม่ได้อีกต่อไปแล้วกับความไม่เป็นธรรม กับเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ คนตกงาน นี่คือเวลาของการเปลี่ยนแปลง” นายธนาธรระบุ

สอดคล้องกับนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่ระบุว่า การเลือกตั้งซ่อมวันที่ 23 ตุลาคม สำคัญ 3 ข้อคือ

  1. ความสำคัญต่อพรรคอนาคตใหม่ วันนี้พยายามปล่อยข่าวว่าไม่ต้องเลือกเรา พรรคจะถูกยุบ คะแนนจะทิ้งน้ำซึ่งโกหก เราจะยังอยู่ต่อ มีภารกิจต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกหลายยก
  2. ความสำคัญต่อการทำงานในสภาของฝ่ายค้าน ในสภาวะเสียงปริ่มน้ำ การมีเสียงเพิ่มจะทำให้การลงมติกฎหมายและเรื่องสำคัญผ่านสภาได้
  3. จะเป็นจุดเริ่มต้นแรกที่ทำให้รัฐบาลจากการสืบทอดอำนาจ คสช. กลายเป็นเสียงข้างน้อย ที่นี่เป็นจุดแรกของการเปิดประตูส่งเสียงพี่น้องฝ่ายประชาธิปไตยออกไป เป็นจุดเริ่มต้นที่อาจจะเปลี่ยนนายกฯ มาเป็นนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ ถ้าเราทำได้จะเป็นชัยชนะของพรรค ประชาธิปไตยและประเทศชาติ

 

ขณะที่พรรคเพื่อไทย นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคชี้ว่า หนึ่งเสียงของประชาชนในการเลือกตั้งซ่อมจะเป็นส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงดุลการเมืองในสภา

ถ้าฝ่ายค้านรักษาที่นั่งเขต 5 จ.นครปฐมได้ และชิงอีก 2 ที่นั่งของพรรคพลังประชารัฐมาได้

ดุลการเมืองจะเปลี่ยน

รวมถึงโอกาสการเปลี่ยนตัวนายกฯ ทำได้ทันที ประชาชนกำลังให้คำตอบว่าระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์กับรัฐธรรมนูญ สิ่งใดสร้างปัญหาให้ประเทศมากกว่ากัน

“ภายใน 1 ปีนี้ การเลือกตั้งซ่อมจะมีผลต่อการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ บางพรรคอาจมี ส.ส.เพิ่มขึ้นหรือลดลง สะท้อนคะแนนนิยมรัฐบาล ทุกสนามการเลือกตั้งซ่อมมีผลต่ออายุรัฐบาลประยุทธ์โดยตรง” โฆษกพรรคเพื่อไทยระบุ

 

ยุทธศาสตร์ที่ไปไกลกว่าชนะการเลือกตั้งซ่อม แต่พุ่งเป้าไปที่การเขย่ารัฐบาลและไล่ พล.อ.ประยุทธ์ นี้

ฝ่ายรัฐบาลก็คงมองออก

และคงต้องกดหรือทำลายยุทธศาสตร์นี้ลง เพื่อไม่ให้ขยายไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ

โดยพื้นที่เดิมของฝ่ายรัฐบาลคือ กำแพงเพชรและสมุทรปราการ จะต้องไม่สูญเสียให้กับพรรคฝ่ายค้าน

ดังนั้น เราคงได้เห็นการระดมสรรพกำลัง ทั้งผ่านพรรค และผ่านกลไกของรัฐบาล ลงไปพื้นที่กันเต็มที่

และแม้ถึง จ.นครปฐมจะขาดเอกภาพ แต่ฟากรัฐบาลก็เชื่อว่าด้วยศักยภาพของ “บ้านใหญ่” ที่นำโดยนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ หรือแม้แต่ผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์เอง ก็ไม่น่าจะทำให้พรรคอนาคตใหม่ได้ชัยชนะง่ายนัก

แถมยังมีโอกาสพลิกผันได้ เช่นเดียวกับพื้นที่ขอนแก่น โอกาสของพรรคพลังประชารัฐก็มีไม่ใช่น้อย

ศึกการเลือกตั้งซ่อมทั้ง 4 เขต จึงได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นไปอย่างดุเดือด

เพราะผลการเลือกตั้งที่ออกมา มิใช่แค่เขตเลือกตั้งนั้นเท่านั้น

แต่หากหมายถึงยุทธศาสตร์ใหญ่ เปลี่ยน “ดุล” ทางการเมือง ที่พรรคฝ่ายค้านชูขึ้นมาเป็นเป้าหมายที่จะฟันฝ่าไป

ซึ่งฝ่ายรัฐบาลก็คงต้องสู้ยิบตาเหมือนกัน

   นั่นย่อมส่งผลให้สมรภูมิการเมืองร้อนระอุ!