ในประเทศ / ส.ส. เหล็กไหล

ในประเทศ

 

ส.ส. เหล็กไหล

 

กระแสข่าว ส.ส.เพื่อไทยจะถูกดูดไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มีออกมาตลอด

ด้วยเพราะรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 2 มีเสียงปริ่มน้ำที่ไม่มีเสถียรภาพ

ทำให้มีแรงกดดันให้ต้องดิ้นรนทุกอย่าง เพื่อจะเพิ่มเสียงในฟากรัฐบาล

ไม่ว่าจะใช้วิธีใต้ดิน บนดินก็ตาม

เรียกว่า มีอะไรดูดได้ ก็ต้องดูด

แม้กระทั่งจะพึ่งพิงของที่ ส.ส.สะสม ซึ่งสร้างความฮือฮาอยู่ตอนนี้คือ “เหล็กไหล”

หากมีฤทธิ์เดช “ดูด ส.ส.ได้จริง” เชื่อว่าแกนนำรัฐบาลและ พปชร.ก็คงวิ่งไปพึ่งพิง

เพื่อดูดเอา ส.ส.ฝ่ายค้านมาร่วมรัฐบาลให้ได้

เพราะหากปล่อยให้รัฐบาลมีเสียงปริ่มน้ำอยู่เช่นนี้ “อุบัติเหตุทางการเมือง” เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

แม้ขณะนี้จะปิดสมัยประชุมสภา ทำให้มีเวลาหายใจหายคอบ้าง

แต่ไม่กี่วัน รัฐบาลจะต้องผลักดัน พ.ร.บ.งบประมาณ 2563 เข้าสภา และต้องผ่านให้ได้ จึงต้องควบคุมเสียงให้ดี

นี่ยังไม่นับการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้านที่คาดหมายว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

หากเสียงรัฐบาลยังอยู่ในภาวะเช่นนี้ ก็ดูจะวางใจอะไรไม่ได้

ต้องเร่งเดินหน้าดูด

นี่เองจึงทำให้ข่าวการย้ายพรรค หรือการสร้างรังงูเห่าในพรรคฝ่ายค้าน มีเป็นระยะ

 

แต่ที่มาเข้มข้นและซีเรียสตอนนี้ มาจากปรากฏการณ์ 2 อย่าง

อย่างแรกคือ กระแสข่าว ส.ส.พรรคเพื่อไทย จำนวน 14-20 คนขอนัดกินข้าวกับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคพลังประชารัฐ ก่อนมีการเปิดประชุมอภิปรายตามมาตรา 152 เมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา

โดยแกนนำของพรรค พปชร.บางรายพยายามเสนอสิ่งจูงใจเพื่อดูด ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยมาร่วมในฟากรัฐบาล

แม้นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ที่ถูกระบุเป็นหนึ่งใน ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยราว 20 คนที่ไปร่วมรับประทานอาหารจะปฏิเสธ

โดยระบุว่า

“คงไม่ใช่ และน่าจะคิดกันไปเอง จะย้ายพรรคได้อย่างไร มีความพยายามใส่ความกัน ทั้งนี้ ฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลอยู่ในสภาเดียวกัน เป็นเพื่อนกัน ในสภาไปกินข้าวด้วยกัน เมื่อก่อนเรายังพูดคุยกินข้าวกันได้ แต่ทำไมมาวันนี้กลับทำไม่ได้ ผมกับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำกลุ่มสามมิตร เป็นเพื่อนกันมาก่อน เมื่อก่อนตักข้าวมาก็มานั่งกินข้างกัน ทำไมมาวันนี้จะกินข้าวด้วยกันไม่ได้”

อย่างไรก็ตาม กระแสข่าวเรื่องนี้ยังแพร่สะพัด ไม่มีทีท่าจะสงบลงง่ายๆ

 

อย่างที่สอง เป็นการย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ “น่าสงสัย” เมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา

สภาผู้แทนราษฎรมีการโหวตญัตติขอตั้งคณะกรรมการวิสามัญเพื่อศึกษาตรวจสอบการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน และการกำหนดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก

ซึ่งเป็นข้อเสนอของ 7 พรรคฝ่ายค้าน

ผลปรากฏว่าเสียงโหวตฝ่ายค้าน แพ้ “ขั้วรัฐบาล” มากอย่างผิดสังเกต

โดยเสียงเห็นด้วยให้ตั้ง กมธ.ดังกล่าว 223 เสียง

ไม่เห็นด้วย 232 เสียง

งดออกเสียง 2 เสียง

จากผู้เข้าประชุมทั้งหมด 456 คน

เมื่อวิปฝ่ายค้านไปตรวจสอบการลงมติ พบว่ามี ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยถึง 16 คน ไม่มาลงมติในญัตติดังกล่าว

ส่งผลให้ “7 พรรคฝ่ายค้าน” ต้องแพ้โหวต

ทั้งที่หมายมั่นปั้นมือจะเข้าไปตรวจสอบโครงการอีอีซี แต่สุดท้ายก็ล้มอย่างไม่เป็นท่า

ข้อมูลนี้ถูกนำไปรายงานคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย (พท.)

สร้างความไม่พอใจให้กับคุณหญิงสุดารัตน์อย่างมาก

มีการกล่าวตำหนิ 16 ส.ส. และสั่งให้ทำหนังสือชี้แจงเหตุที่ไม่โหวตตามมติพรรค โดยให้ส่งเหตุผลถึงนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพื่อให้พรรคพิจารณาต่อไป

ทั้งนี้ 16 ส.ส.ส่วนใหญ่เป็น ส.ส.อีสาน อยู่ในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ยโสธร และอำนาจเจริญ อาจจะอ้างลงพื้นที่น้ำท่วมเพื่อช่วยเหลือประชาชน

แต่ในทางการเมือง ก็มีการประเมินว่า 16 ส.ส.ดังกล่าวอาจเริ่มส่งสัญญาณการปันใจให้กับ “ขั้วรัฐบาล”

จำเป็นต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

เหมือนตอนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ในจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์

ตอนนั้นมี ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยอย่างน้อยสองสามคนไปรอต้อนรับอยู่ด้วย

พร้อมประกาศยกมือสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่จะเข้าสภาในกลางเดือนหน้าอีกด้วย โดย “จะยกมือสนับสนุนล้านเปอร์เซ็นต์”

และแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับการจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล

ซึ่งแม้ยังมองไม่ออกชัดเจนว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่อง “งูเห่า” หรือไม่ แต่ทิศทางก็เป็นเช่นนั้น

ยิ่งเมื่อมีการนำเรื่องนี้ไปสอบถาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานยุทธศาสตร์พรรค พปชร.

คำตอบออกมาในทางยินดีหากจะมีคนมาร่วมฝ่ายรัฐบาล

 

ท่าทีอันสอดคล้องนี้เอง

ยิ่งตอกย้ำถึงความพยายามที่จะดูดเอาฝ่ายค้านไปเป็นพรรครัฐบาล

จึงไม่แปลก ที่จะมีปฏิกิริยาไม่พอใจอย่างรุนแรงจากคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์

โดยแฉว่ามีความพยายามทำมาหลายครั้ง พยายามใช้เงิน ข่มขู่เรื่องคดี

ตอนนี้มีความพยายามเพาะฟาร์มงูเห่าต่อ โดยเสนออามิสสินจ้าง ถือเป็นความพยายามอยู่ทุกวี่ทุกวันของรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำได้มาด้วยความพิกลพิการ

“โชคดีที่คนของพรรคเพื่อไทยมีอุดมการณ์ ไม่ทรยศประชาชนและเล่าให้ฟังหมด”

“พรรคได้รวบรวมคลิปเสียง รวบรวมหลักฐาน ขออนุญาตยังไม่เปิดเผยรายละเอียดตอนนี้ โดยจะใช้หลักฐานเหล่านี้ดำเนินการ เพราะคนที่มาเสนอเงินให้ ส.ส.นั้นมีความผิด หากมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นอีกจะมี ส.ส.พร้อมจะช่วยดำเนินการ”

การกล่าวหาฝ่ายพรรครัฐบาล ที่ร้ายแรงถึงขนาดทำผิดกฎหมายนั้น

นำไปสู่ “วิวาทะ” ทางการเมืองในทันที

 

โดย พล.อ.ประวิตรบอกว่า ที่ว่าคุณหญิงสุดารัตน์มีหลักฐานเป็นคลิปเสียง โดยกล่าวอ้างว่ามีการจ่ายอามิสสินจ้างนั้น “ไม่รู้สิ ต้องไปถามคุณหญิงสุดารัตน์เอง”

“ใครจะไปจ่าย แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปจ่าย ส่วนอาจจะแลกเปลี่ยนเรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่นั้น ไม่ทราบ ในการวางยุทธศาสตร์ของ พปชร. ไม่ได้มีแนวทางที่จะดึงคนจากพรรคอื่นมาร่วม แต่ถ้าเขามาก็เอา”

ขณะที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) บอกว่า เรื่องนี้ยังไม่มีความชัดเจนอะไร และไม่มีการยืนยันใดๆ เป็นแค่ข่าว

“อย่างไรก็ตาม เรื่องการย้ายขั้วคิดว่าคงมีการพูดคุยกันบ้าง เพราะ ส.ส.รัฐบาลและฝ่ายค้านทำงานร่วมกัน นักการเมืองคุยกันอยู่แล้ว จะไปห้ามไม่ให้พบปะพูดคุยคงไม่ได้ ในสภาหรือในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลก็พูดคุยกัน มองในเชิงประโยชน์ของประเทศชาติ ทุกคนคงคิดว่าจะทำอย่างไรให้มีประโยชน์ หากอะไรที่มีประโยชน์ ส.ส.คงจะช่วยกันประคับประคองการทำงานของทุกฝ่ายให้เดินไปข้างหน้า”

ขณะที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พปชร. ปฏิเสธไม่ได้ไปรับประทานอาหารกับ ส.ส.เพื่อไทย

“เป็นความเข้าใจผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ รวมถึงกรณีการแจกซองให้กับ ส.ส.ก็ไม่เป็นจริง ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่มีปัญหาอุทกภัย ส.ส.หรือคนที่รู้จักกันจะช่วยกันหาสิ่งของไปมอบและดูแลประชาชน ถ้าเป็นในลักษณะนี้อาจเป็นไปได้ แต่การจะไปนั่งรับประทานอาหารพูดคุยดึงเขาเข้ามา พปชร.นั้น ไม่เป็นความจริง เป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก และการพูดกันไป พูดกันมากๆ คนที่รับฟังจะเข้าใจผิด จะมองการเมืองเป็นอย่างอื่นไป”

“ที่ระบุว่ามีคลิปเป็นหลักฐานก็เอามาเปิดสิครับ ไม่เป็นไร เพราะมันไม่มีผม”

ส่วนมือประสานสิบทิศ อย่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ส.ส.พะเยา พปชร. ปัดว่า

“เรื่องนี้ผมไม่ทราบ เพราะไม่ใช่คนไปดีล เรื่องนี้คงเป็นเรื่องของ พล.อ.ประวิตร”

 

ท่าทีของฟากรัฐบาลแม้จะอยู่ในจุดยืนปฏิเสธ

แต่ฟากแนวร่วมฝ่ายค้านก็มีท่าทีสอดคล้อง อย่างความเห็นของนายณัฐชา บุญไชยสวัสดิ์ รองโฆษกพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ที่โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเพจ “Nattacha Boonchaiinsawat” ว่า

“แย่งของเพื่อนมาครอบครองจนเคยชิน เข้าใจว่าภาวะเสียงปริ่มน้ำของรัฐบาลส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลอย่างรุนแรง แต่ พล.อ.ประวิตรในฐานะประธานยุทธศาสตร์ของพรรคจะแก้ปัญหาด้วยการไม่เคารพการตัดสินใจของประชาชนอย่างนี้ไม่ได้ รัฐบาลกำลังเข้าตาจน ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ทำแม้แต่การดึง ส.ส.พรรคอื่นมาเพื่อต่ออายุของตนเอง ยอมรับแบบไม่มีความละอายกับการซื้องูเห่า ทั้งที่การซื้องูเห่าเป็นการหักหลังประชาชนที่ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง”

“ผมจะบอกท่านอย่างหนึ่งครับ ว่าการขัดหลักการประชาธิปไตยเป็นการกระทำที่ไม่ควรให้อภัยสำหรับคนที่เรียกตัวเองว่านักการเมือง อย่าเคยชินกับการเอาของคนอื่นเหมือนนาฬิกาที่ท่านยืมเพื่อนมา ผมมองว่าทางลงของรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำคือยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ให้ประชาชนตัดสิน”

ข้อเรียกร้องคงไม่มีการตอบสนองจากฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลแน่

และเชื่อว่าการดูดก็ยังคงดำเนินต่อไป

ดำเนินไปตามความเชื่อแบบเรื่อง “เหล็กไหล”

ที่มีพลังมหาเสน่ห์ ดูดเอาฝ่ายตรงกันข้ามมาอยู่กับฟากตนอย่างลึกๆ ลับๆ!