ส่องมุมคิดและความในใจ “เสือลูกเสก” “เสฏกานต์ ศุขพิมาย”

“เรื่องครอบครัวของผมมันไม่ได้แบบทำให้ผมเปลี่ยนไปในด้านแง่ลบอะไรแบบนี้ครับ คือสมมติแม่เป็นคนชอบด่าใช่ป่ะครับ ผมไม่ได้เป็นคนแบบแม่ครับ คือพ่อเป็นคนอย่างนี้ ผมก็ไม่ใช่เป็นคนแบบพ่อครับ ผมเป็นเสือ เป็นตนของตนเอง”

นี่คือคำนิยามตัวตนของ “เสือ-เสฏกานต์ ศุขพิมาย” ซึ่งแค่ดูจากนามสกุล ทุกคนย่อมรู้ดีว่าเขาคือลูกชายของร็อกสตาร์ชื่อดัง “เสกสรรค์ ศุขพิมาย” หรือ “เสก โลโซ” (และ “กานต์-วิภากร ศุขพิมาย”)

“เสือ เสฏกานต์” เล่าว่า สมัยเด็กๆ เขามักได้ใช้ชีวิตและออกท่องเที่ยวในต่างประเทศ เพราะพ่อต้องเดินทางไปทัวร์คอนเสิร์ตบ่อยๆ

“ก็ได้ประสบการณ์ที่นู่นมาเยอะ ไม่ค่อยได้อยู่ไทยตั้งแต่เด็กครับ”

เมื่อครั้งที่ “เสก โลโซ” ตัดสินใจไปแสวงหาประสบการณ์เล่นดนตรีและทำงานในอังกฤษ ลูกชายเช่นเสือก็ได้เดินทางติดสอยห้อยตามไปเรียนหนังสือที่นั่นด้วย ระหว่างอายุ 3 ถึงประมาณ 6 ขวบ

แต่พอถึงช่วงมัธยม ซึ่งงานดนตรีของพ่อเริ่มซาลง เสือก็ไม่ค่อยได้ออกไปท่องโลกกว้าง กระทั่งเขามีโอกาสไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา

การไปเรียนต่อและใช้ชีวิตในต่างบ้านต่างเมืองคราวนั้น เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ชีวิตครอบครัวของพ่อ-แม่เสือเริ่มมีปัญหา

“ชีวิตมันไม่ได้อยู่นิ่งครับ คือ ใช่ ผมก็ไปโน่นไปนี่บ่อยๆ ย้ายบ้านก็บ่อย ช่วงนั้นที่มีเรื่องหลายเรื่องอะครับ ผมย้ายบ้าน ย้ายที่อยู่ ก็ปีหนึ่งอะ ย้ายอยู่ประมาณ 3-4 ที่ครับ

“คือเรื่องพ่อกับแม่มาบ่อยมาก ใช่ๆ แต่คือผมก็ชินนะ มันไม่ได้ทำให้ชีวิตผมคือแบบ… ก็มีนะครับ มันก็แบบ… แต่ผมว่ามันทำให้ผมแข็งแรงขึ้น มันก็ไม่ได้บอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องดีที่กระทบกับชีวิตผมนะ แต่ว่ามันเป็นสิ่งที่ผมผ่านมาได้อะไรแบบนี้ครับ”

ทายาทร็อกสตาร์คนดังเปิดเผยอารมณ์ความรู้สึก เท่าที่จะสามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนได้

ย้อนกลับไปที่เรื่องส่วนตัว เมื่อถามว่าในฐานะลูกชายของนักร้องใหญ่ ตอนเด็กๆ เขาโดนสปอยล์ (ตามใจ) บ้างหรือไม่?

“ผมก็ว่ามีนะครับ มีสปอยล์อยู่ แบบผมเป็นคนที่โชคดีนะ คือพูดจริงๆ โชคดีที่เกิดมาแล้วพ่อกับแม่ทำงานดีอะไรแบบนี้ครับ แต่ผมไม่ได้แบบคิดว่าเรื่องนี้ทำให้ผมดีกว่าคนอื่น อะไรแบบนี้ ผมก็มองคนอื่นทุกคนเท่าๆ กันครับผม

“ตอนเด็กๆ พ่อเขาก็รวย เขาทำงานมาก็ซื้อของเล่น ซื้ออะไรให้ผมกับน้องๆ แต่ว่าผมก็แบบโตขึ้นมา ผมก็แบบดูมูลค่าเงิน ดูค่าของเงินได้มากขึ้น แบบผมแคร์เรื่องนี้มากขึ้น

“ตอนอยู่อเมริกา (มีคน) อยากให้ตังค์ผม อยาก (ให้) ไปกินอาหารดีๆ ผมก็ไม่เอา โห อาหาร ผมก็หาซื้อ (จาก) ซูเปอร์มาร์เก็ต อยากทำกินเอง ผมแบบเสียดายเงิน คือผมเป็นคนแบบ (หัวเราะ) พูดจริงๆ ค่าทางด่วนยังไม่อยากจ่ายอะไรแบบนี้อะ ถ้ามันไปทางนี้ไม่ขึ้นทางด่วนได้ ผมก็ไม่ขึ้นนะ”

นี่คือคำตอบที่แสดงถึงความประหยัดมัธยัสถ์ของเสือ

เมื่อสอบถามถึงความสัมพันธ์กับพ่อ ชายหนุ่มตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า

“ผมก็ไม่ค่อยสนิทกับพ่อครับ แต่ว่าพอโตมาเรื่อยๆ ครับ ก็คุยกับเขามากขึ้น จนกระทั่งตอนนี้ได้เป็นผู้จัดการส่วนตัว (ของพ่อ) ผมก็แบบ โห เริ่มสนิทกับเขา แล้วอยากจะคุย คือผมเป็นคนชอบคุยอะ

“โตขึ้นมาเรื่อยๆ ก็เห็นว่าพ่อทำเพื่อลูกอย่างเดียวเลย ทำเพื่อลูก ทำเพื่อครอบครัว ผมก็แบบเริ่มเห็นเขาเป็นไอดอล

“เห็นว่าเขาทำงานหนัก เห็นว่าเขาเป็นพ่อที่ดีมาก อะไรแบบนี้ ผมก็รักเขาจริงๆ อะครับ”

จุดเปลี่ยนของสายสัมพันธ์นี้อาจเกิดขึ้นจากปัญหารอยแตกร้าวภายในครอบครัวครั้งนั้น

“ผมรู้สึกว่าหน้าที่ผมคือการเรียนอย่างเดียว ใช่มั้ยครับ เราก็แบบ ไม่ค่อยไป ไม่อ่านอะไรเลยครับ แบบเขาเฮ้ยพ่อ-แม่มีอะไรกันเนี่ย โห หนักมาก ไรมาก เสร็จแล้วเสือก็ไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาทะเลาะเรื่องอะไรกัน หรือมีใครเข้ามาอะไรแบบนี้อ่ะ ผมก็ไม่รู้เลย อยู่ในการเรียนอย่างเดียว อยู่ในโลกของเสืออย่างเดียว ในชีวิตเสือ เพื่อน การเรียน ครูอะไรแบบนี้ น้องอะไรแบบนี้

“แต่ว่าพอเริ่มโตขึ้น เมื่อเร็วๆ นี้ก็เริ่มรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร อะไรเกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา อะไรแบบนี้ครับ

“ผมก็เครียดอะครับ เครียดจริง ตอนอยู่อเมริกายังเครียดเลยครับ แบบผมไปอเมริกาหวังว่าจะไม่ ไม่ค่อยแบบไม่รับรู้ แต่ว่ามันก็มีหนักใช่มั้ย มันก็เข้ามา ผมก็โหเครียด เครียดมาก โอ้ มีแบบอยู่ดีๆ ก็ร้องไห้คนเดียว”

สุดท้าย เสือก็เป็นคนที่พาพ่อเข้าไปรักษาตัวในโรงพยาบาล

“ตอนนั้นคือผมไม่ค่อยเต็มใจช่วยครับ ตอนนั้นแบบมันเป็นเรื่องที่มาแบบเร็ว รวดเร็วมากครับ แบบอยู่ดีๆ แม่ก็เรียกเข้าไปคุยในห้องว่าพ่อเขาป่วยมาก ไลฟ์สดด่าทุกคนเลย โหตอนนั้น เสือไม่รู้อะไรเลย ว่าอะไรเกิดขึ้น ที่เสือบอก แบบเป็นคนที่ไม่ค่อยดูสื่อด้วยอะไรพวกนี้อะ แม่ก็บอกว่า โห พ่อไลฟ์สดทั้งวันอาจจะหนัก อาจจะมีการ… อาจจะ… โห กลัวเป็นไรไป ใช่ป่ะ

“โห กังวลทำไงดี เขาก็วางแผน ตอนนั้นแม่กับอีฟวางแผนด้วยกัน แม่กับอีฟเนี่ยอะครับวางแผนด้วยกัน ว่าจะเอาพ่อเข้าโรงพยาบาล เสือก็โหไม่อยาก คือไม่อยากจริงๆ ผมไม่อยากทำอะไรให้แบบพ่อเจ็บปวด อะไรแบบนี้ แต่ว่าตอนนั้น เขาบอกต้องทำ ต้องทำ เออเสือก็บอกทำก็ได้ ทำก็ได้ ก็ปฏิบัติการตามนั้น

“โห ตอนนั้นผมก็รู้สึกเจ็บข้างใน แบบตอนที่เขาอยู่โรงพยาบาล ผมไปเจอเขาครั้งสุดท้าย ตอนที่ก่อนบินกลับไปอเมริกา ปีสุดท้ายใช่ไหมครับ ปีที่แล้วครับ โห เข้าไปเจอเขา เกือบร้องไห้นะครับ แบบโอ้โห มันเป็นภาพที่ผมไม่อยากเจอพ่อแบบนี้เลย”

ปัจจุบัน เสือจบการศึกษาด้านการเงินธุรกิจ จาก “อเมริกัน ยูนิเวอร์ซิตี้” ที่วอชิงตัน ดี.ซี. พร้อมคะแนนเกียรตินิยม

แม้จะไม่เคยคิดฝันอยากทำงานเพลงตามรอยพ่อ แต่ล่าสุด เขาก็เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของ “เสก โลโซ”

“คือเขาเป็นคนป่วยอะ เขาเป็นคนป่วยไบโพลาร์ เขาก็ต้องมีคนดูแลบ้าง แล้วผมก็ดีสุดแล้ว เป็นลูกเขา ผมก็ดูแล ไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน คือเงินเดือนก็มีใช่ป่ะครับ แต่ผมไม่ได้ซีเรียสเรื่องเงิน คือผมอยากทำงานเพื่อช่วยพ่อ เพื่อดูแลพ่อ

“เขาภูมิใจ เขาดีใจ คือเขาแบบ เขาเป็นคนคิดมาก เขาไม่อยากคิดเรื่องงานเลย มันทำให้เขาปวดหัว เวียนหัวอะไรแบบนี้ เขาก็ป่วยครับ เขาก็คิดมากว่าอยากให้มีคนมาช่วยนานแล้ว

“แล้วผมก็เลยบอกว่าพ่อไม่ต้องคิดเรื่องงานอะไรเลย ไปเล่นอย่างเดียว ขึ้นเวทีเล่นอย่างเดียว ไม่ต้องซีเรียสเรื่องตาราง ไม่ต้องซีเรียสอะไร ผมจัดการได้หมด เขาก็โล่งเลยอะ คือเขาก็โฟกัสเรื่องดนตรีอย่างเดียว เขาก็โล่งอกโล่งใจ ให้ผมไปช่วยครับ”

นี่คือจุดเริ่มต้นในธุรกิจดนตรีของ “เสือลูกเสก” หรือ “เสฏกานต์ ศุขพิมาย”

หวังว่าเส้นทางสายนี้จะมีกลีบกุหลาบมากกว่าขวากหนาม