ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 กันยายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
เวลาราว 03.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นซาอุดีอาระเบียของวันที่ 14 กันยายน ในพื้นที่ตะวันออกของซาอุดีอาระเบียเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ที่บ่อน้ำมันดิบคูราอิส
ก่อนที่อีก 10 นาทีต่อมาโรงงานแปรรูปน้ำมันอับคออิคที่อยู่ไม่ห่างกันนักจะเกิดระเบิดขึ้นตามมา ส่งผลให้เกิดไฟลุกท่วมพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะสามารถควบคุมเพลิงให้สงบลงได้
เหตุระเบิดสองครั้งซ้อนที่บ่อน้ำมันและโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทอารัมโก บริษัทน้ำมันของทางการซาอุฯ ตั้งอยู่ห่างจากกรุงริยาดไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 165 กิโลเมตร
ในครั้งนี้สร้างความเสียหายให้กับกำลังผลิตน้ำมันของซาอุดีอาระเบียมากถึง 5 ล้านบาร์เรลต่อวัน
หรือคิดเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ของกำลังผลิตน้ำมันปริมาณ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวันของซาอุดีอาระเบีย
เหตุการณ์นี้ทำให้ซาอุดีอาระเบียสูญเสียกำลังผลิตน้ำมันที่คิดเป็นสัดส่วนถึง 5 เปอร์เซ็นต์ของกำลังผลิตน้ำมันในตลาดโลก
กลุ่มกบฏฮูธี กลุ่มกบฏพันธมิตรกับอิหร่าน ที่ทำสงครามกลางเมืองกับกลุ่มพันธมิตรนำโดยซาอุดีอาระเบีย ในสมรภูมิประเทศเยเมน ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ออกมายอมรับว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตี
กลุ่มกบฏฮูธีเปิดเผยว่า โจมตีแหล่งผลิตน้ำมันซาอุฯ ด้วย “โดรน” หรืออากาศยานไร้คนขับจำนวน 10 ลำ
สอดคล้องกับที่องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ยืนยันว่ากลุ่มกบฏฮูธีมีความก้าวหน้าทางการทหารมากขึ้น
สามารถใช้โดรนโจมตีเป้าหมายที่อยู่ห่างไกลออกไปได้ถึง 1,500 กิโลเมตรแล้วในเวลานี้ ขณะที่จุดเกิดเหตุล่าสุดนี้อยู่ห่างจากฐานที่มั่นของกบฏฮูธีในเยเมนราว 1,000 กิโลเมตรเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับรายงานข่าวก่อนหน้าที่ระบุว่ากลุ่มกบฏฮูธีใช้โดรนประสิทธิภาพสูงโจมตีเข้าใส่สนามบินพลเรือนในซาอุดีอาระเบีย รวมไปถึงเมืองอาบูดาบีและดูไบของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หลายครั้ง
แต่ครั้งก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นการโจมตีที่สร้างความเสียหายหนักเท่ากับการโจมตีครั้งล่าสุด
ชาติตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาพันธมิตรของซาอุดีอาระเบีย เชื่อว่าอิหร่านนั้นให้ความช่วยเหลือกลุ่มกบฏฮูธีทางด้านการทหารโดยเฉพาะโดรนประสิทธิภาพสูงที่ใช้ในการโจมตี ข้อกล่าวหาซึ่งอิหร่านและกลุ่มกบฏฮูธีเองก็ปฏิเสธ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหรัฐเองระบุว่ายังไม่มีหลักฐานว่าการโจมตีดังกล่าวมีต้นตอมาจากประเทศเยเมน แต่กลับพุ่งเป้ากล่าวหาไปที่อิหร่าน ว่าเป็นความพยายามตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐ
โดยสหรัฐมีการเผยแพร่ภาพถ่ายจากดาวเทียม แสดงให้เห็นความเสียหายของตัวอาคารที่โรงงานแปรรูปน้ำมันซาอุดีอาระเบีย พร้อมทั้งชี้ประเด็นว่าทิศทางของการโจมตีนั้นมาจากอิหร่านและอิรัก ไม่ได้มาจากเยเมนที่อยู่ทางทิศใต้แต่อย่างใด
การโจมตีดังกล่าวส่งผลกระทบใหญ่หลวงโดยเฉพาะกับซาอุดีอาระเบียเองที่พึ่งพารายได้ของประเทศส่วนใหญ่จากการส่งออกน้ำมันเป็นหลัก
นอกจากนี้ ยังเกิดขึ้นในช่วงเดียวกันกับที่บริษัทอารัมโก เจ้าของแหล่งแปรรูปน้ำมันที่ถูกโจมตี เตรียมจะเปิดขายหุ้นสู่สาธารณะเป็นครั้งแรก หรือไอพีโอ ในเร็วๆ นี้
และแน่นอนว่า การเปิดไอพีโอครั้งนี้คงต้องเลื่อนออกไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญด้านหุ้นบริษัทน้ำมัน ระบุว่า การโจมตีจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่มักได้รับการรักษาความปลอดภัยระดับสูงครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าในอนาคตโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทั่วโลกอาจตกเป็นเป้าจากการโจมตีมากยิ่งขึ้น
สำหรับกลุ่มกบฏฮูธีนั้นเป็นเครือข่ายกลุ่มติดอาวุธในตะวันออกกลางซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยอิหร่าน เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่อขยายอิทธิพลในภูมิภาคระหว่างซาอุดีอาระเบีย และอิหร่าน โดยทั้งสองประเทศปะทะกันผ่านสงครามตัวแทนในหลายๆ ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในซีเรีย เลบานอน รวมไปถึงในเยเมน
เหตุโจมตีครั้งใหญ่ครั้งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงกับราคาน้ำมัน ล่าสุดราคาน้ำมันดิบตลาดเบรนต์พุ่งขึ้นถึง 20 เปอร์เซ็นต์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ไปอยู่ที่ 72 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล นับเป็นการปรับขึ้นมากที่สุดในครั้งเดียวนับตั้งแต่มีการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในช่วงทศวรรษที่ 80 เป็นต้นมา
อย่างไรก็ตาม ราคาปรับลดลงมาอยู่ที่ 66 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศนำน้ำมันสำรองมาใช้เพื่อชดเชยส่วนที่หายไปในตลาดโลก
นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า ราคาน้ำมันอาจสูงขึ้นอีกหากซาอุดีอาระเบียไม่สามารถฟื้นคืนกำลังผลิตน้ำมันให้อยู่ในระดับเดิมได้ รวมไปถึงหากเกิดการเผชิญหน้าทางการทหารขึ้นในภูมิภาค
ซึ่งแน่นอนว่าหากราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นก็จะส่งผลกระทบกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในอีกแง่หนึ่ง การโจมตีซาอุดีอาระเบียในครั้งนี้อาจเป็นชนวนให้เกิดสงครามในภูมิภาคตะวันออกกลางขึ้นได้ เมื่อทรัมป์ส่งสัญญาณชัดเจนว่าพร้อมที่จะตอบโต้ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีดังกล่าว เป็นการบอกใบ้ที่ค่อนข้างชัดเจนว่า สหรัฐอาจใช้เรื่องนี้เป็นเหตุผลในการบุกโจมตีอิหร่านได้ในอนาคต
และนั่นอาจเป็นชนวนรอบใหม่ให้เกิดสงครามในภูมิภาคตะวันออกกลางขึ้นอีกครั้ง