กาละแมร์ พัชรศรี : ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ค่ายผู้ลี้ภัยซีเรีย

การเดินทางสู่ค่ายผู้ลี้ภัยชาวซีเรียที่เลบานอนกับยูนิเซฟ (UNICEF) ครั้งนี้นำมาซึ่งความรู้สึกชีวิตและประสบการณ์ที่เปลี่ยนไป

การรับรู้ข่าวคราวผู้ลี้ภัยซีเรียก่อนหน้านี้ของฉันก็รู้เพียงเล็กน้อยตามข่าวต่างประเทศต่างๆ เพราะเขาดูอยู่ห่างไกลจากเรา

แต่เมื่อได้เดินทางมาถึง ฉันจึงได้เปลี่ยนการรับรู้ไปอย่างสิ้นเชิง

ค่ายผู้ลี้ภัยซีเรียในเลบานอน / AFP PHOTO / STRINGER

ซีเรียเกิดสงครามทั้งจากความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศ ขัดแย้งทางศาสนา และจากการยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวจากประเทศมหาอำนาจ ทำให้เกิดสงคราม ระเบิดลงไม่เว้นแต่ละวัน

คนซีเรียเลยต้องอพยพหนีตายออกนอกประเทศไปอยู่ประเทศต่างๆ ทั้งในยุโรปและเลบานอน ประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง

“เลบานอน” ถ้าเทียบกับซีเรียแล้วขนาดพื้นที่เล็กกว่ามาก แถมประเทศตัวเองก็เกิดสงคราม บ้านเรือนโดนทิ้งร้างมากมาย มีประชากร 4 ล้านคน และรับผู้ลี้ภัยซีเรียมาอีก 2 ล้านคน นับว่าใจดีสุดๆ

ค่ายผู้ลี้ภัยซีเรียมีถึง 3,000 ค่ายทั่วเลบานอน บางคนก็อยู่ตามบ้านร้างตึกร้างที่คนเลบานอนทิ้งไว้แล้วหนีไปอยู่ประเทศอื่น แม้ตัวเองไม่อยู่แต่ชื่อก็ยังเป็นเจ้าของ ก็เลยไม่สามารถดำเนินการอะไรต่อได้ เลยต้องปล่อยทิ้งร้างไว้อย่างนั้น บวกกับเรื่องภาษีอสังหาฯ ของเลบานอน ถ้าบ้านสร้างเสร็จเสียภาษีอีกราคา

ส่วนใหญ่เลยทิ้งบ้านให้เสร็จแบบค้างๆ คาๆ เหมือนจะร้าง แต่จริงๆ แล้วมีคนอยู่ในนั้น

คนซีเรียที่มีฐานะก็จะเช่าห้องอยู่เป็นสัดเป็นส่วน คนไหนไม่ค่อยมีก็มาอยู่รวมกันที่ค่ายผู้ลี้ภัย ค่าทำเต็นท์เขาก็ออกกันเอง ข้าวของผ้าใบไวนิลก็หาเอาจากแถวนั้นหรือมีคนบริจาค น้ำไฟ ไม่ต้องเสียแต่ใช้ในปริมาณจำกัด

สถานที่ตั้งก็จะอยู่ตามเมืองที่ห่างไกลความเจริญ พื้นที่ว่างที่เจ้าของไม่ได้ทำอะไร หรือบางที่ก็ทำการเกษตรก็จะว่าจ้างให้ผู้ชายซีเรียทำงานเล็กๆ น้อยๆ ได้เงินต่อวัน 60-150 บาท

บางที่ก็ไม่มีงานอะไรให้ทำ ส่วนผู้หญิงออกมาทำงานไม่ได้ จะไปไหนโดยไม่มีผู้ชายก็ไม่ได้ตามหลักศาสนา ก็เลยต้องทำงานบ้าน หรือทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านไปเพื่อแลกกับค่าตอบแทนนิดๆ หน่อยๆ

ผู้ชายบางคนก็หนีไปโดยอ้างว่าจะกลับไปเป็นทหารที่ซีเรียแล้วไม่กลับมาอีก ทำให้ผู้หญิงต้องเลี้ยงลูกตามลำพัง

บางบ้านก็บังคับลูกสาวให้แต่งงานตั้งแต่อายุ 13-14 ปีเพื่อจะได้มีคนดูแล

แต่แต่งไปไม่นานก็ต้องหย่าเพราะเด็กเกินไป

เด็กที่เคยผ่านการแต่งงานก็ต้องเยียวยาชีวิตตัวเอง จะแต่งใหม่ก็ค่อนข้างยาก ก็จะมีเจ้าหน้าที่องค์กรต่างๆ มาช่วยด้านจิตใจ

นอกจากยูนิเซฟจะช่วยเรื่องน้ำ อาหารสำหรับเด็กที่ขาดสารอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่แล้ว ยังมีองค์กรการกุศลต่างๆ ทั่วโลกมาช่วยกัน

เช่น เรื่องสาธารณสุข ก็จะมีหมอมาที่ค่ายเดือนละครั้ง มาตรวจสุขภาพ มารักษาถ้าใครไม่สบาย แล้วจ่ายยาให้ แม่ๆ ก็จะพาลูกมาตรวจว่าขาดสารอาหารไหม ถ้าขาด หมอก็จะให้อาหารเสริม ถ้าใครเป็นหนักก็ส่งโรงพยาบาล และยังมีหมอที่ปรึกษาเรื่องคลอด สุขอนามัยผู้หญิงด้วย

นอกจากนี้ ต้องมีเจ้าหน้าที่มาให้ความรู้เรื่องความเป็นอยู่เพราะจะได้ไม่เจ็บป่วยมาก ลำพังความหนาวของอากาศ หิมะตก เด็กๆ ก็จะเป็นโรคเกี่ยวกับปอด ทางเดินหายใจกันเยอะ เจ้าหน้าที่ก็จะเข้ามาสอนเรื่องการทำน้ำกินให้สะอาด ให้ต้ม เอาน้ำใส่ขวดแก้วไปตากแดด ทำความสะอาดแท็งก์น้ำ ซึ่งผู้หญิงก็ต้องมานั่งฟังกัน

ประชากรในค่ายส่วนใหญ่คือเด็กๆ เด็กบางคนก็ได้ไปโรงเรียน บางคนไม่ได้ไป พ่อแม่ก็ให้ไปทำงานหนักเกินควรเพื่อแลกกับค่าแรง

แต่เท่าที่ฉันไปเห็นและสัมผัสเด็กๆ ในค่าย ทำให้ฉันรู้ว่าเด็กก็คือ เขาอาจจะไม่รู้ในรายละเอียดที่เกิดขึ้นกับชีวิตเขา แต่ในชีวิตความเป็นอยู่ทุกวันนี้ เขาก็ยังมีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะ มีแววตาแห่งความสดใส และสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่มีความสุข

เวลาที่รถโรงเรียนมารับ เด็กๆ จะไปคอยอยู่ใกล้ๆ และวิ่งไปอย่างเร็วเมื่อเห็นรถมาจอด พวกเขาจะไปโรงเรียนช่วงบ่าย ช่วงเช้าให้เด็กเลบานอนเรียน

ที่ต้องแยกกันเพราะพวกเขาเคยโดนล้อจากเด็กเลบานอน ก็เลยเรียนคนละเวลาไปเลยดีกว่า

เห็นชัดเลยว่าเด็กชอบไปโรงเรียนกันทุกคน

เวลาฉันเข้าไปเยี่ยมตามค่ายซึ่งฉันไปทั้งหมด 4 ค่ายด้วยกัน เด็กๆ จะมีทีท่าเป็นมิตร วิ่งเข้ามาหา แอบมองก่อนบ้าง เลียบๆ เคียงๆ

พอเรามีทีท่าจะไปเล่นกับเขา เด็กจะอยากเล่นกับเรา แม้จะพูดคนละภาษาก็ตาม เด็กพูดอารบิก ฉันพูดอังกฤษ ไม่เข้าใจกันหรอก แต่เราสื่อสารกันด้วยภาษาเด็ก จึงรู้เรื่องกัน

เด็กๆ พาไปดูบ้าน ไปดูไก่ พาไปเล่นที่ต้นไม้ บนเนินเขา จับมือกันร้องเพลง เล่นเกม แกล้งกัน หัวเราะกัน ถ่ายรูปด้วยกัน

เมื่อต้องจากลา เด็กโบกมือบ๊ายบาย พร้อมวิ่งเข้ามาหอมแก้มซ้ายขวาแบบไม่เลิกรา ความรู้สึกแปลกๆ วิ่งเข้ามาในหัวใจ มีก้อนขึ้นมาจุกที่คอ เหมือนน้ำตาจะเอ่อขึ้นมาที่ดวงตา ฉันรีบเบนหน้าหันกลับจากเด็กๆ ที่วิ่งมาส่ง

การมาครั้งนี้ฉันไม่มีอะไรมาให้ เด็กก็ไม่มีอะไรให้ตอบ แต่เราต่างมี “ใจ” ที่ให้ต่อกัน

ทำให้ฉันรู้เลยว่า “เด็ก” คือพลังบริสุทธิ์ที่ยังมีความหวังในชีวิต

เขายังมีอนาคตที่สามารถทำประโยชน์ให้โลกนี้อีกมากมาย

ไม่รู้ว่าสงครามที่ซีเรียจะยุติเมื่อไหร่ พวกเขาต้องหวาดผวากับเสียงเครื่องบินทุกลำที่บินผ่านหัวอีกนานแค่ไหน

ได้แต่ภาวนาว่าขอให้สงครามจบลง เพราะมันไม่เคยให้ประโยชน์อะไรเลย…