เผยแพร่ |
---|
บาดแผลอันเนื่องจากสถานการณ์แถลงนโยบายรัฐบาลระหว่างวันที่ 25-27 กรกฎาคม ยังไม่ตกสะเก็ดดีนัก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์ โอชา ก็ต้องประสบเข้ากับสถานการณ์ในวันที่ 18 กันยายน
เป็นสถานการณ์อันถือว่าเป็น”ไฟท์บังคับ”แม้จะโยกโย้ หลบ เลี่ยงอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูก็ตาม
ไฟท์บังคับจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 152
ไฟท์บังคับจากการปฏิบัติอย่างไม่ครบถ้วน สมบูรณ์ตามรัฐ ธรรมนูญ มาตรา 161
และในความเป็นจริง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ย่อมไม่สา มารถหลบเลี่ยงหรือหนีการเดินทางไปรัฐสภาได้อย่างยืดเยื้อและยาวนาน
เพราะยิ่ง”หนี”ยิ่งจะเป็น”ผลเสีย”
ไม่ว่าจะเป็น จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไม่ว่าจะเป็น จอมพลถนอม กิตติขจร แม้จะเป็นทหารผ่านศึกเสือเหนือใต้มาอย่างโชกโชน แต่ เมื่อเข้าสู่รัฐสภาก็กลายเป็น”ละอ่อน”
ทำไม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงต้องทำรัฐประหาร”ซ้ำ”ในเดือนตุลาคม 2501
ก็เพราะต้องการกำจัด”ระบบรัฐสภา”จาก”การเลือกตั้ง”
ทำไม จอมพลถนอม กิตติขจร จึงต้องทำรัฐประหาร”ซ้ำ”ในเดือนพฤศจิกายน 2514
ก็เพราะต้องการกำจัด”ระบบรัฐสภา” จาก “การเลือกตั้ง”
เมื่อเข้าสู่กระบวนการรัฐประหารในเดือนพฤษภาคม 2557 คสช.ได้สรุปบทเรียนไม่เพียงแต่จากการเสียของของรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549
หากยังนำบทเรียนของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพลถนอม กิตติขจร ตลอดจน พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ มาอยู่ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ครบถ้วน
แต่สมรภูมิ”รัฐสภา”จาก”การเลือกตั้ง”ก็ยังเป็นของแสลง
บรรยากาศของรัฐสภาไม่เพียงแต่ทำให้ต้องร้องอุทธรณ์”ต่อให้ไอ้คนที่อยู่เมืองนอก ก็ทำไม่ได้”
หากแต่ยังเสนอคำถามตามมาด้วยว่า “จะเอาผมแบบนี้ หรือ จะเอาผมแบบก่อน”
นั่นเท่ากับเป็นการขีด”เส้นแบ่ง”ทางการเมือง
การเมืองก่อนการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 การเมืองหลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562