ต่างประเทศ : “ฮัน ซุง อ๊ก” ผู้แปรพักตร์จากโสมเหนือ ที่ล้มเหลวในเกาหลีใต้

มีชาวเกาหลีเหนือจำนวนมากที่หลบหนีความอดอยากในประเทศเกาหลีเหนือ ดั้นด้นไปหาความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในเกาหลีใต้ แม้ว่าระหว่างทางของการเดินทางจะเสี่ยงมากแค่ไหนก็ตาม แต่คนเหล่านี้ก็คิดว่ายังดีกว่าที่จะต้องอดอยากตายอยู่ในประเทศที่เป็นบ้านเกิดของตนเอง

เช่นเดียวกับ “ฮัน ซุง อ๊ก” ที่หนีมาอยู่ในเกาหลีใต้ และหวังว่าชีวิตความเป็นอยู่จะดีขึ้น

แต่ทุกสิ่งหาเป็นไปตามที่ฝันไม่

บีบีซีรายงานว่า ร่างของนางฮันในวัย 42 ปี กับลูกชายวัย 6 ขวบ ถูกพบอยู่ในห้องพักเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม เมื่อเจ้าหน้าที่ของการประปาไปตรวจสอบเนื่องจากไม่มีการจ่ายค่าน้ำ และได้กลิ่นเหม็นเน่าออกจากห้อง ก็พบศพทั้งสองอยู่บนพื้นห้อง คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วอย่างน้อย 2 เดือน และสาเหตุของเสียชีวิตมาจากการ “อดตาย”

หนึ่งในคนที่พบแม่ลูกคู่นี้คนสุดท้าย คือแม่ค้าขายผัก บนถนนที่อยู่ด้านนอกอพาร์ตเมนต์ที่นางฮันอาศัยอยู่กับลูก

แม่ค้าคนนี้บอกว่า พอคิดย้อนกลับไปก็ทำให้รู้สึกแย่ เพราะตอนแรกรู้สึกเกลียดนางฮัน ที่จุกจิกจู้จี้เวลามาเลือกซื้อผัก แต่ตอนนี้พอมารู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ก็อยากจะขอโทษนางฮัน

“ถ้าเพียงแต่เธอขอร้องดีๆ ฉันก็อาจจะให้กะหล่ำปลีเธอไปกินบ้าง” แม่ค้าคนเดิมกล่าว เพราะครั้งสุดท้ายที่แม่ค้าคนนี้พบกับนางฮันและลูกชาย นางฮันเลือกซื้อกะหล่ำปลีอย่างละเอียด ก่อนจะเลือกซื้อไปเพียง 1 หัว ในราคา 500 วอน หรือราว 13 บาท!!

และหลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ นางฮันและลูกก็เสียชีวิต

 

เรื่องราวการตายของนางฮัน กลายเป็นเรื่องน่าตกตะลึงและสร้างความโกรธแค้นสำหรับผู้ที่ได้รับฟัง เพราะขณะที่นางฮันและลูกชายหนีความอดอยากจากเกาหลีเหนือ แต่กลับต้องมาอดตายในกรุงโซล หนึ่งในเมืองที่มั่งคั่งที่สุดในเอเชีย

หากแต่ความจริงคือ เมืองใหญ่อย่างโซลที่มีผู้คนอาศัยอยู่ถึง 10 ล้านคน นางฮันกับลูกก็เป็นเหมือนกับอากาศธาตุที่ผู้คนมองไม่เห็น

มีไม่กี่คนที่รู้จักเธอ และนางฮันก็พูดคุยกับคนที่รู้จักเธอ “น้อยมาก” และการออกไปข้างนอกก็ต้องทำเหมือนหลบๆ ซ่อนๆ ปกปิดใบหน้าด้วยหมวกที่สวมใส่ และหลีกเลี่ยงกับการสบตาผู้คน

แต่วันนี้ ชาวเกาหลีใต้รู้จักนางฮันมากขึ้นแล้ว ในวันที่เธออยู่ในสภาพ “ไร้วิญญาณ” ผู้คนจำนวนมากนำดอกไม้และข้าวของมาวางไว้บริเวณแท่นบูชาศพที่ทำขึ้นชั่วคราวในย่านกวางฮวามุน ตอนกลางของกรุงโซล

หลายคนพากันตะโกนเรียกชื่อนางฮัน ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน หลายคนโกรธแค้นที่ชีวิตหนึ่งจากเกาหลีเหนือต้องมาอดตายในเมืองใหญ่

และหลายคนไม่อยากเชื่อว่า จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นใน “เกาหลีใต้”

 

บีบีซีรายงานว่า การหลบหนีออกจากเกาหลีเหนือนั้นเป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้นได้ โดยได้เปรียบเทียบเอาไว้ว่า จำนวนผู้คนที่พยายามจะไต่เขาเอเวอเรสต์ปีนี้ ยังมากกว่าคนที่หนีออกมาจากเกาหลีเหนือได้เสียอีก

เพราะแม้จะสามารถผ่านด่านทหารและกล้องวงจรปิดตามชายแดนมาได้ แต่ผู้แปรพักตร์เหล่านี้จะต้องเดินทางเป็นระยะทางอีกเป็นพันกิโลเมตรผ่านประเทศจีน โดยมีเป้าหมายอยู่ที่สถานทูตเกาหลีใต้ในประเทศที่ 3 ไม่ว่าจะเป็นไทย กัมพูชา หรือเวียดนาม เพื่อให้สถานทูตเกาหลีใต้ช่วยเหลือต่อไป

และการเดินทางผ่านจีนก็เป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสูงมาก หากถูกจับได้ก็จะถูกส่งตัวกลับเกาหลีเหนือ และอาจจะต้องถูกบังคับใช้แรงงานหนักตลอดชีวิต

ขณะที่ผู้หญิงที่พยายามจะแปรพักตร์หนีออกจากเกาหลีเหนือ ก็จะจ่ายเงินให้กับนายหน้าเพื่อช่วยพาหนีออกมา แต่ที่สุดแล้วผู้หญิงเหล่านี้มักจะถูกพบว่าถูกกักขังตัวเอาไว้ บ้างก็ถูกขายเป็นเจ้าสาว หรือต้องไปขายบริการทางเพศ

ในกรณีของนางฮันนั้น บีบีซีรายงานว่า ยากที่จะตรวจสอบได้ว่าหนีออกจากเกาหลีเหนือมาได้อย่างไร แต่มีผู้แปรพักตร์ 2 คนที่อ้างว่าเคยพูดคุยกับนางฮัน เชื่อว่านางฮันถูกบังคับขายเป็นเจ้าสาวให้กับชายชาวจีนคนหนึ่ง แล้วก็มีลูกชายด้วยกัน

แต่บีบีซีก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือไม่

 

สิ่งที่ยืนยันได้คือ นางฮันเดินทางมากรุงโซลคนเดียวเมื่อราว 10 ปีก่อน เนื่องจากนางฮันได้เข้าเรียนที่ศูนย์ “ฮานาวอน” ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้ขั้นพื้นฐานสำหรับผู้แปรพักตร์ ที่จะต้องมาเรียนหนังสือที่นี่ก่อนเป็นเวลา 12 สัปดาห์ ตามกฎระเบียบของกระทรวงรวมชาติของเกาหลีใต้ เพื่อช่วยคนเหล่านี้ให้สามารถปรับตัวได้เมื่อต้องใช้ชีวิตในเกาหลีใต้

เพื่อนคนหนึ่งของนางฮันในชั้นเรียนนี้บอกว่า เธอรู้ว่านางฮันไปที่จีนก่อน ที่รู้เพราะว่า แม้ในช่วงที่นางฮันหัวเราะ หรือดูสนุกสนาน แต่ก็ยังเหมือนมี “ด้านมืด” อยู่ในตัว

ในช่วงแรกของการออกมาใช้ชีวิตใหม่ในเกาหลีใต้ของนางฮันดูเหมือนจะดี ทางการช่วยหาอพาร์ตเมนต์ให้ นางฮันและเพื่อนๆ อีก 6 คนอาศัยอยู่ในย่านเดียวกันคือ กวานักกู

เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งเล่าว่า นางฮันได้งานที่ร้านคอฟฟี่ช็อปในมหาวิทยาลัยโซล และทำงานได้เป็นอย่างดี เพราะนางฮันเป็นคนฉลาด มีความเป็นผู้หญิง จนคิดว่าน่าจะมีใครบางคนที่อยากจะพานางฮันไปดูแล

จึงไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้น

ผู้แปรพักตร์อีก 2 คนที่อยู่ในอพาร์ตเมนต์เดียวกับนางฮัน บอกว่า นางฮันได้ชวนให้สามีคนจีนย้ายมาอยู่เกาหลีใต้ และอยู่กันเป็นครอบครัว ก่อนจะย้ายไปอยู่ที่เมืองทงยอง ที่ซึ่งฝ่ายชายไปทำงานในอู่เรือ และทั้งสองมีลูกชายคนที่ 2 ด้วยกัน แต่เกิดมามีปัญหาทางสมอง

ที่สุดแล้วฝ่ายชายก็หนีกลับไปประเทศจีนพร้อมกับลูกชายคนโต ทิ้งให้นางฮันอยู่กับลูกชายที่พิการทางสมอง และต้องย้ายกลับไปอยู่ที่กวานักกูในกรุงโซล ยื่นเรื่องขอความช่วยเหลือจากศูนย์ชุมชนที่ดูแลผู้แปรพักตร์เมื่อเดือนตุลาคมปีก่อน และได้รับเงินช่วยเหลือบุตรเดือนละ 100,000 วอน หรือราว 2,500 บาท

ช่วงเวลานี้เองที่นางฮันและลูกชายตกเป็นเหยื่อของจุดบอดของระบบสวัสดิการสังคม เนื่องจากจริงๆ แล้วนางฮันสามารถยื่นเรื่องขอเงินเพื่อช่วยเหลือบุตรได้มากกว่านี้ กรณีที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว แต่ต้องมีใบหย่า ซึ่งนางฮัน “ไม่มี”

ทางศูนย์ชุมชนแจ้งว่า เคยไปเยี่ยมนางฮันที่อพาร์ตเมนต์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่เธอและลูกไม่อยู่บ้าน จึงไม่รู้สภาพของลูกชายนางฮันว่าเป็นอย่างไร

จนมาพบอีกทีก็เป็นศพไปแล้วทั้งคู่

 

การตายของนางฮันกับลูกชาย หลายฝ่ายมองว่า เกิดจากการขาดการเหลียวแลและดูแลจากทางการเกาหลีใต้ ที่ยังขาดระบบที่ดีในการดูแลผู้แปรพักตร์เหล่านี้ หลายคนอยากให้มีการปรับปรุงศูนย์สุขภาพจิตให้ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน เพราะผู้แปรพักตร์ส่วนมากต้องเผชิญความโหดร้ายระหว่างการหลบหนี

การอยู่ในโลกใหม่ ไม่ได้ช่วยสมานแผลทางจิตใจที่มีบาดแผลฝังลึกอยู่ได้

และได้แต่หวังว่า การตายของนางฮันกับลูก จะช่วยทำให้ระบบต่างๆ ดีขึ้น และไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต กับชาวเกาหลีเหนือผู้แปรพักตร์