ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 30 สิงหาคม - 5 กันยายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
เจ้ากิ่งมันเป็นคนเก่ง เสียแต่ขี้เกียจ อาศัยอยู่กับพ่อ-แม่ที่ค่อนข้างมีฐานะดีอยู่ในหมู่บ้าน แม้ครอบครัวจะไม่ได้ทำมาค้าขายอะไรแต่ก็พอมีนาให้เช่า กับมีสวนสารพัดไม้ดอกไม้ผลอยู่ในบริเวณบ้านพอได้เก็บกิน
“ไอ้กิ่งเอ้ย วันนี้ต้องทำอะไรอย่าลืมนะ”
“ไม่ลืมน่าแม่ก็..เตือนอยู่ได้”
ที่จริงมันเกือบลืมแล้ว ถ้าไม่ไม่ตะโกนเตือนมาจากใต้ถุนเรือน
เรื่องคือวันนี้เป็นวันที่นายอำเภอคนใหม่เริ่มเข้ารับตำแหน่ง นอกจากเหล่าข้าราชการจะตั้งแถวต้อนรับแล้ว ยังมีชาวบ้านผู้มีฐานะจะเข้าร่วมต้อนรับด้วย ซึ่งไอ้เจ้ากิ่งนี่แหละเป็นตัวแทนของครอบครัวผู้มีฐานะคนหนึ่งในบรรดาครอบครัวหมู่บ้านหมู่หนึ่ง
ก็ไม่ถึงกับมีพิธีรีตองอะไร เพียงเอาชะลอมมะม่วงไปมอบให้ที่อำเภอเท่านั้น
เป็นน้ำจิตน้ำใจของชาวบ้าน ว่างั้นเถิด
ความที่เจ้ากิ่งเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ถึงแม้จะขี้เกียจก็เถิด คือขี้เกียจทำงาน แต่ขยันอ่านหนังสือ มันจึงพอจะรู้บ้างว่าอะไรควรไม่ควร เช่น รู้ว่าข้าราชการบนอำเภอนั้นมีตำแหน่งแห่งหนตามลำดับชั้น แม้ข้าราชการยศต่ำสุดก็ยังถือเป็นเสมียน เป็นเจ้านายเหนือชาวบ้านอยู่ดี
เพราะฉะนั้น นายอำเภอจึงเสมอเจ้านายใหญ่สุดของย่านนี้ ซึ่งเจ้ากิ่งจำต้องเคารพยำเกรงเป็นที่ยิ่ง
ก็ไม่จำเพาะเจ้ากิ่งเท่านั้นดอก ใครๆ ในถิ่นนี้อำเภอนี้ก็ล้วนให้ความนับถือและเคารพยำเกรงด้วยกันทั้งสิ้น
จะว่าไปเรื่องทำนองนี้คือการเห็นข้าราชการเป็นเจ้านาย นี้น่าจะเป็นนิยายน้ำเน่า หมดยุคสมัยไปแล้ว แต่เชื่อเถอะ มันยังมีอยู่จริง ชนิดให้นำไปแต่งเป็นนิยายน้ำเน่าได้อีกไม่รู้จบ
เจ้ากิ่งมันเรียนไม่จบมัธยม ด้วยดันไปจบวิชาการ “ทำท้อง” ให้แฟนสาวเสียก่อน กระทั่งแฟนสาวต้องไป “ทำแท้ง” ชีวิตชุลมุนวุ่ยวายถึงกับต้องทิ้งการเรียนกลางคันด้วยกันทั้งคู่
แล้วทั้งคู่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันเพราะต่างก็ไม่สามารถทนรับภาวะทางอารมณ์ที่ยังเป็นผู้ใหญ่ไม่พอของกันและกันได้
เจ้ากิ่งมันจึงไม่ไปไหน นั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้าน เอาแต่อ่านหนังสือลูกเดียวสบายดี
ค่าที่พ่อแม่มีอันจะกินนี่แหละ มันจึงไม่ต้องตรากตรำอะไร กลายเป็นคนขี้เกียจไปวันๆ สะดวกดายสบายดี
มันลุกขึ้นบิดขี้เกียจ แล้วอาบน้ำแต่งตัว ยกชะลอมมะม่วงผูกท้ายรถเครื่อง ขับขี่แน่วออกจากบ้านผ่านตลาดตรงไปที่ทำการอำเภอ
จอดรถยังที่ยังทางแล้วก็ยกชะลอมมะม่วงอ้อมหลังอาคารไปด้านหน้าอำเภอ ทักทายผู้คนซึ่งล้วนมักคุ้นกันเป็นอันดี ซึ่งมีทั้งผู้มีอันจะกินในตลาดและบรรดาข้าราชการเจ้านายทั้งหลาย
“เฮ้ย ไอ้กิ่ง…”
ไอ้กิ่ง หันไปตามเสียงเรียก
“ว่าไงเพื่อน”
มันอยากทักตอบว่า “เฮ้ย ไอ้เม่น” อยู่เหมือนกัน แต่ก็ยั้งปากทัน ได้แต่ยิ้มๆ ตอบไปได้แค่ “ว่าไงเพื่อน” เท่านั้น
ด้วยไอ้เม่นเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนมาแต่โรงเรียนประถมในหมู่บ้านก็จริงอยู่ แต่ตอนนี้ไอ้เม่นมันเรียนจบกลับมาเป็นครูโรงเรียนมัธยมในอำเภอ ไม่ใช่ “ไอ้เม่น” เพื่อนเก่าแล้ว
ไอ้เม่นกลายเป็นผู้ “ทรงภูมิ” เพราะมันจบปริญญาเป็นครูบาอาจารย์ จนเจ้ากิ่งไม่กล้าจะอาจเอื้อมเอาตัวเองเข้าไปเทียบเป็นเพื่อน เหมือนไอ้เม่นคนเดิมได้อีกต่อไปแล้ว
นี่กระมังคืออาการของความรู้สึกที่น่าจะนิยามด้วยคำว่า “สยบภูมิ”
คือการรู้สึกตนว่าต่ำต้อยกว่าเขา
เจ้ากิ่งมันเริ่มคิดอย่างนี้และให้รู้สึกแปลกใจเสียจริงว่าตัวเองคิดอย่างนี้ได้ยังไง
สักครู่นายอำเภอก็ปรากฏตัวพร้อมขบวนเป็นพรวนตามหลังมา ท่านยกมือพนมยิ้มร่าผ่านขบวนผู้ต้อนรับ กระทั่งมาถึงที่เจ้ากิ่งยืนอุ้มชะลอมมะม่วงอยู่
“เฮ้ย ไอ้กิ่ง”
เสียงนายอำเภอร้องทักปราดเข้ามาตบไหล่
“อ้าวเฮ้ย…ทัศน์”
ไอ้กิ่งชะงักคำว่า “ไอ้” ไว้ทัน…ก็ “ไอ้ทัศน์” นี่เองที่เรียนมัธยมในตัวจังหวัดมาด้วยกันอีกแหละ
ก็ “ไอ้ทัศน์” นี่แหละที่ลอกการบ้านไอ้กิ่งมาตลอด มาเป็นนายอำเภออยู่นี่ไง
ไอ้กิ่งมันให้รู้สึก “สยองภพ” ขึ้นมาทันที คือให้รู้สึกเกรงอำนาจในความเป็น “เจ้านาย” ที่กำลังตบหลังตบไหล่อย่างเป็นกันเองอยู่ตรงนี้
ชะรอยจะเป็นเพราะไอ้เจ้ากิ่งมันอ่านหนังสือมากไปหรืออย่างไร จึงทำให้มันรู้สึกได้ถึงอาการแปลกๆ ที่นิยามขึ้นมาในทันทีนี้ว่า “สยองภพ” เมื่อเจอ “ไอ้ทัศน์” ผู้มีภพภูมิเป็นถึงนายอำเภอ
และไอ้เม่นผู้ทรงภูมิเป็นครูบาอาจารย์ถึงปานฉะนี้