มองบ้านมองเมือง/ปริญญา ตรีน้อยใส /พาไปเที่ยวเกาะส่วนตัว แบบไปเช้าเย็นกลับ

ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ

มองบ้านมองเมือง/ปริญญา ตรีน้อยใส

พาไปเที่ยวเกาะส่วนตัว แบบไปเช้าเย็นกลับ

ผู้เขียนมีภาพจำ หาดทรายชายทะเล ที่จอมเทียน หัวหิน สมุย และแม้แต่ภูเก็ต ที่ต่างไปจากสภาพปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง

ในภาพดังกล่าว หาดทรายและทะเลทุกแห่ง ไร้นักท่องเที่ยว ไร้อาคารสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ มีแต่ธรรมชาติ และหมู่บ้านเล็กๆ เท่านั้น

การไปเที่ยวชายทะเล สมัยที่ยังเป็นนิสิตเมื่อนานมาแล้ว จึงเป็นการพักผ่อนในธรรมชาติอย่างแท้จริง

รวมไปถึงการใช้ชีวิตกับชาวบ้าน อย่างเช่นที่สมุย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง ที่ต้องอาศัยซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ชาวบ้านไปไหนๆ หรืออาหารทุกมื้อ จะมีแต่ของที่มาจากเรือประมง และผักไม้ใบหญ้าในสวนเท่านั้น

ที่ยังจำได้คือ การเล่นน้ำทะเล ณ ชายหาดที่ไร้ผู้คน และอาคารบ้านเรือน โลกทั้งโลกจึงเป็นของเราหรือเท่านั้น

ไม่ต้องนั่งเรือออกไปไกลกลางทะเล น้ำทะเลยังใส ปลาและปะการังที่ยังมีเหมือนในตอนนี้

 

วันเวลาที่ผ่านไปได้เปลี่ยนสภาพจอมเทียน ชะอำ สมุย และหัวหิน ไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ทุกแห่งเต็มไปด้วยอาคารสิ่งก่อสร้าง โรงแรม ร้านค้า คอนโดมิเนียม มีนักท่องเที่ยวทุกชาติทุกภาษา รวมทั้งพ่อค้าแม่ค้า หมอนวด และอื่นๆ สภาพธรรมชาติที่เคยมี หายไปหมดแล้ว

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว คงเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับสิ่งที่เป็นไป และคงเป็นแค่เรื่องเล่าขานให้คนรุ่นปัจจุบันฟังเท่านั้น

แต่ด้วยเมืองไทยนั้นกว้างใหญ่ จึงได้ยินได้ฟังมาว่า ยังมีชายฝั่งทะเลอีกหลายแห่งที่ยังมีสภาพเช่นในอดีต แต่จะอยู่ไกลโพ้น หรือตามหมู่เกาะกลางทะเล

ทำให้การเดินทางไป เป็นเรื่องยุ่งยาก วุ่นวาย และยาวนาน

 

เมื่อเร็วๆ นี้ ต้องพานิสิตไปสำรวจสถานีรถไฟสายใต้ ตั้งแต่นครปฐม จนถึงชุมพร เพื่ออนุรักษ์อาคารสถานีเดิม ตามแผนพัฒนาทางรถไฟรางคู่

ด้วยสภาพภูมิประเทศ เส้นทางรถไฟสายใต้ของเรา จึงขนานไปกับแนวชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทย ผ่านแหล่งท่องเที่ยว อย่างเช่น ชะอำ หัวหิน ที่รู้จักกันดี หรือบ้านกรูด ชุมพร ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก

ระหว่างการสำรวจ มีคนชวนไปเที่ยวเกาะเตียบ ชุมพร ไปชมธนาคารปู และนั่งห้อยขาทานอาหารกลางทะเล โดยนั่งรถยนต์ตามทางที่แยกจากทางหลวงหมายเลข 4 ที่อำเภอปะทิว จนถึงหมู่บ้านปลายคลอง เพื่อลงเรือออกไปกลางทะเล นั่งเรือชมวิวไปไม่ทันเบื่อ ก็ถึงเกาะเล็กๆ ที่ตั้งของธนาคารปู โดยเขาจัดอาหารทะเลให้รับประทาน มีทั้งปู กุ้ง และปลาหมึก อย่างมากมาย โดยมีส้มตำรสเด็ดช่วยชูรส มีแตงโมและสับปะรดไว้ล้างปาก

เนื่องจากเป็นโรงเรือนอยู่กลางทะเล ทุกคนจึงได้นั่งบนพื้นไม้ที่เขาเจาะช่องกว้างให้ห้อยขา เหนือช่องที่เจาะไว้ เขาตั้งโต๊ะกระจกใสปิดไว้

ทำให้มองลงไปเห็นหมู่ปลาน้อยใหญ่ ที่กำลังรุมทึ้งเศษอาหารที่ทิ้งลงไป

 

ด้วยรสชาติอาหารที่สดและอร่อย ด้วยบรรยากาศที่ไม่ธรรมดาและเย็นสบาย ทำให้มื้อเที่ยงวันนั้น วิเศษกว่าภัตตาคารหรูใดๆ หลังอาหาร หลายคนเลือกที่จะเอนหลังงีบหลับไป หลายคนออกไปเดินปีนเขารอบเกาะ ก่อนที่จะนั่งเรือกลับ ระหว่างทาง เรือแวะจอดให้ลงเล่นน้ำตรงชายหาดที่เงียบสงบไร้ผู้คน

แม้ว่าน้ำทะเล หมู่ปลา จะไม่สวยงามเท่าที่อื่น แต่ด้วยสภาพที่เห็น ทำให้ภาพจำแห่งอดีต ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

และที่สำคัญ ทำให้รู้ว่า ยังมีสถานที่แบบนี้ในปีปัจจุบัน สถานที่ที่คนกรุงเทพฯ สามารถเดินทางไปสัมผัสได้ภายในหนึ่งวัน

แค่โทร.นัดกับพี่สาย (รุ้ง) โทร. 08-7276-9390 ให้จัดเตรียมรถรับ-ส่งสนามบิน ให้จัดเตรียมเรือพร้อมเสื้อชูชีพ และให้เตรียมรายการอาหารตามที่ต้องการ ก็ไปถึงจุดหมายที่ต้องการ

 

ถ้าออกจากดอนเมืองได้ในตอนเช้า ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงชั่วโมง ก็จะถึงชุมพร

นั่งรถต่อไปแค่สิบห้านาทีก็ถึงหมู่บ้านที่มีเรือรอรับ และพาออกไปกลางทะเล พาไปดำน้ำตามหมู่เกาะต่างๆ ทั้งใกล้และไกล

ขากลับแวะรับประทานอาหารที่ธนาคารปู แบบห้อยขา ยังเหลือเวลาเล่นน้ำทะเลบนหาดทรายส่วนตัว ไร้นักท่องเที่ยวอื่นใดตลอดบ่าย ก่อนที่จะบินกลับกรุงเทพฯ ในตอนค่ำ

ที่จริง อยากจะเก็บสถานที่แห่งนี้ไว้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวลับหรือส่วนตัว แค่แอบมาแนะนำเฉพาะแฟนานุแฟนมองบ้านมองเมืองเท่านั้น

ไม่อยากให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักมากกว่านี้ กลัวว่าพอเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง พวกฝรั่ง แขก เจ๊ก จะแห่กันมา เปลี่ยนสภาพให้เป็นเหมือนแหล่งท่องเที่ยวอื่น

แล้วภาพจำของผู้เขียน ก็จะเป็นเรื่องจริงอีกต่อไป