บทบาทท่าที ‘ปารีณา ไกรคุปต์’ ผลกระทบกับการเมืองไทย ความขัดแย้งครั้งใหญ่รอปะทุ

กลายเป็น ส.ส.คนแรกในสภาที่มีข่าวถูกล่าชื่อถอดถอน สำหรับ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ จาก จ.ราชบุรี

แม้จะเป็นการล่าชื่อผ่านกระบวนการทางออนไลน์ ซึ่งไม่มีผลอะไรทางกฎหมาย แต่ก็น่าสะพรึงไม่ใช่น้อย

เพราะล่าสุดมีการลงชื่อกันแล้วกว่า 7.5 หมื่นคน แสดงถึงเจตจำนงทางการเมืองอย่างมีนัยยะสำคัญ ทั้งที่ประเทศเพิ่งผ่านการเลือกตั้ง ส.ส.มาไม่นานและเพิ่งจะได้รัฐบาลใหม่

ความร้อนแรงทางการเมืองดังกล่าว ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไป

แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของปฏิกิริยาตอบโต้กันไปมาอย่างสุดขั้วของความคิดทางการเมืองที่แตกต่างกัน

สําหรับ น.ส.ปารีณา เคยเป็น ส.ส.ราชบุรีมาแล้วหลายสมัย ลงสมัคร ส.ส.ครั้งแรกสังกัดไทยรักไทย ปี 2548 ได้เป็นผู้แทนฯ เขต 3 นั่ง ส.ส. สมัยปี 2549 ย้ายสังกัดไปพรรคชาติไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา เป็น ส.ส.เขต 1 ปี 2550 และเขต 3 ปี 2554 ก่อนจะเปลี่ยนสีเสื้อ ลงในนามพลังประชารัฐ และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.เขต 3 ราชบุรี 46,409 คะแนน

แต่อันที่จริง น.ส.ปารีณาก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักในสังคมกว้างขวางนัก แม้แต่ในแวดวงคอการเมืองเองก็ตาม

หรืออาจจะย้อนไปตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง หากไม่นับกรณีการออกมาชี้แจงว่าไม่ได้ติดตั้งป้ายขนาดใหญ่เชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ จับมือกับเทเรซjา เมย์ นายกฯ อังกฤษที่โป๊ะแตกสะกดผิดตัวใหญ่ ในพื้นที่จังหวัดราชบุรี น.ส.ปารีณาก็แทบไม่มีพื้นที่ในสื่อเลย

แต่วันนี้ต้องยอมรับว่า น.ส.ปารีณากลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว

แต่เป็นความรวดเร็วที่ออกจะแปลกๆ ไปหน่อย และเป็นการมีชื่อเสียงบนฐานของการสร้างศัตรูทางการเมืองอย่างหนัก

รูปธรรมที่เห็นชัดก็คือกรณีการล่ารายชื่อถอดถอนออกจากการเป็น ส.ส.นั่นเอง

ปารีณาคือหนึ่งในนักการเมืองที่แม้จะได้รับเลือกตั้งมา แต่กลับดังจากนอกสภา เริ่มจากการไลฟ์สดในเฟซบุ๊กส่วนตัว ใช้คำเรียก “อีช่อ” สังคมทั่วไปเข้าใจว่าสื่อถึงพรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ผู้มีชื่อเล่นว่า “ช่อ” จนก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างกว้างขวางในโลกโซเชียล

แรกๆ นั้นปารีณาตอบโต้ด้วยท่าทีแบบเป็นทางการ คือการมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวที่พรรค อ้างว่า คำว่าอีช่อนั้นไม่ได้พาดพิงใคร แต่คำว่าอีช่อ แถวบ้านที่ราชบุรี เปรียบเปรยเป็นคนที่ไม่รักษากฎระเบียบ แถมยังตอกกลับพวกวิจารณ์ว่าเป็นพวกกินปูนร้อนท้อง

เรื่องจึงไม่จบ แถมถูกเติมเชื้อไฟด้วยการออกมาสั่งสอน ส.ส.ฝั่งตรงข้ามเรื่องมารยาท หัดมีสัมมาคารวะ เคารพข้อบังคับการประชุม แต่อีกด้านก็ถูกตอบโต้กลับจากฝั่งผู้ใช้โซเชียล ขุดคดีความเก่า เรื่องราวเก่าๆ โจมตีกลับ จน น.ส.ปารีณาถึงกyบโอดครวญตกเป็นเหยื่อโซเชียล ถูกด่าทอหยาบคาย พาดพิงถึงบิดาปมยิงสุนัขตาย กล่าวหาค้าอาวุธ

น.ส.ปารีณารุกกลับด้วยการเข้าแจ้งความผู้ใช้โซเชียลกว่า 5,000 คน โดยเชื่อว่าเป็นกระบวนการจัดตั้งจากฝั่งตรงข้ามทางการเมือง

หลังจากนั้นปารีณาก็อยู่ในพื้นที่สื่อตลอดมา ด้วยการโพสต์ข้อความทางการเมืองแบบจิกกัด เหน็บแนมเสียดสีด้วยภาษาแบบบ้านๆ สั้นๆ ง่ายๆ

แน่นอนว่าถ้าเป็นคนที่คิดตรงกัน เรื่องราวดังกล่าวก็ดูจะเหมือนเป็นการแซวการเมืองในชีวิตประจำวัน แต่ในบริบทสงครามโซเชียล ปารีณากำลังเปิดสมรภูมิรบกับฝ่ายตรงข้ามอย่างดุเดือด สร้างภาพสุดขั้วการเมือง

วีรกรรมอื่นๆ ในพื้นที่โซเชียลของปารีณาต่อเนื่องกันมา เช่น โพสต์เตือนสมาชิกรัฐสภาให้แต่งกายให้ถูกระเบียบ โดยเรียกอีกฝ่ายว่าอีช่อ ทั้งยังวิจารณ์เรื่องรูปร่างภายนอก หรือจะเล่นแรงอย่างการติดแฮชแท็กอีช่อหนักแผ่นดิน

หรือกรณีเหตุการณ์จ่านิวถูกทำร้าย ปารีณายังโพสต์เชื่อมโยงว่าลูกน้องนายวันมาตบจนตาแตก จนนายวัน อยู่บำรุง ส.ส.เขตบางบอน พรรคเพื่อไทย (พท.) ต้องออกมาตอบโต้ว่าเอาอะไรมาคิด กล่าวหาตนไปอยู่เบื้องหลังทำร้ายจ่านิว

ต่อมาเป็นกรณีนักร้องดัง ทาทา ยัง ถูกวิจารณ์หลังไปคอมเมนต์สนับสนุนการทำร้ายในแฮชแท็กดักตบอีช่อ ก่อนถูกโซเชียลวิจารณ์หนัก น.ส.ปารีณาก็ออกมาปกป้องว่ารักทาทา ยัง เพราะทาทา ยัง รักประเทศไทย

รวมถึงการหัวเราะเยาะเย้ย หลังศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องวินิจฉัยว่าพรรคอนาคตใหม่ล้มล้างการปกครอง พร้อมยังสาปแช่งยุบไม่พอ ขอให้ติดคุก ทั้งยังโพสต์ข้อความถึงนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในทำนองว่าหากเลือกตั้งครั้งหน้ามาหาเสียงแถวราชบุรีมีโห่ไล่แน่

ล่าสุดคือการโพสต์หลังเหตุระเบิด อดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งเป็นคนอำมหิต คนไม่ดี ต้องรู้แพ้รู้ชนะ พอหยุดเผาก็มาระเบิด

สําหรับพื้นที่ในสภาเอง ที่ค่อนข้างเป็นทางการ ปารีณาก็เริ่มมีบทบาทในการจับไมค์ประท้วงฝ่ายตรงข้าม หรือพยายามหาหนทางสกัดอีกฝั่ง โดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่ การอภิปราย ส.ส.ฝ่ายตรงข้ามแต่งกายไม่ถูกกาลเทศะ ด้วยตรรกะที่ค่อนข้างรุนแรงว่าเกิดจากรากเหง้าของครอบครัว แม้จะถูกประธานออกมาเบรกหรือติติงในหลายครั้งว่าทำผิดวิธี จนถูกสั่งให้ถอนคำพูดหลายครั้ง

หรือจะเป็นการอภิปรายสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ยกเป็นฮีโร่ของบ้านเมือง กอบกู้ประเทศที่เสียหาย การกระทำของ พล.อ.ประยุทธ์เทียบได้กyบอดีตประธานาธิบดีรูสเวลต์ของสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่การสืบทอดอำนาจแต่อย่างใด

ระยะหลังๆ ปารีณาเริ่มท้าชนรุ่นใหญ่ เช่น ประท้วงขอให้หัวหน้าพรรคเพื่อไทยถอนคำพูด จนถูกนายชวนสอนวิธีประท้วง ว่าต้องประท้วงและพูดกับประธาน หรือกรณีการประท้วงที่หนึ่งใน ส.ส.เพื่อไทยนำป้ายหาเสียงของพรรคพลังประชารัฐมาประกอบในการอภิปราย ด้วยข้อหาง่ายๆ ว่าไม่ขออนุญาตใช้โลโก้ของพรรค จนถูกประธานชี้แจงว่าไม่เป็นไร

พีกสุดคือการป่วน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส โดยใช้คำว่า “เสนอหน้า” เข้ามานั่งในห้องประชุมได้อย่างไร เพราะถูกประธานไล่ออกไปจากห้องประชุมเมื่อวาน เป็นต้น เรียกได้ว่าอารมณ์ล้วนๆ

ในทางกฎหมาย นอกจากแจ้งความจับคนโพสต์วิจารณ์ ยังแจ้งความจับนักวิชาการอย่างอาจารย์โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ ในข้อหาหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญ หลังวิจารณ์คำสั่งให้ 32 ส.ส.ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่

ต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นที่มาของปฏิบัติการล่าสุดในการตอบโต้ น.ส.ปารีณา คือการลงชื่อถอดถอนทางออนไลน์แล้วกว่า 75,000 ชื่อ ซึ่ง น.ส.ปารีณาเย้ยกลับว่าถอดถอนอะไรกันจ๊ะ แค่มุขเดิมๆ

ล่าสุดพรรคอนาคตใหม่ตัดสินใจเดินหน้าฟ้องร้องในข้อหาหมิ่นประมาท หลังโพสต์ข้อความเชื่อมโยงมีเนื้อหาในลักษณะที่อาจทำให้สังคมเข้าใจผิดว่าพรรคอนาคตใหม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุรุนแรงหลายจุดในกรุงเทพฯ เป็นเรื่องใหญ่จนถึงขนาดที่ว่านายกรัฐมนตรีต้องออกมาปกป้องว่าปารีณาอาจจะไม่ได้โพสต์ข้อความดังกล่าวเองก็เป็นได้ ส่วน น.ส.ปารีณา ล่าสุดได้เข้าแจ้งความกลับพรรณิการ์ วานิช ส.ส.อนาคตใหม่อีกด้วย

จะเห็นได้ว่าผลของปฏิบัติการการเมืองของปารีณา จะออกไปในทางลบมากกว่าทางบวก

โดยเฉพาะท่วงทำนองท่าทีแล้ว ค่อนข้างไปทางผลักคนที่อยู่ตรงกลางออกห่าง ดึงคนฝ่ายเดียวกันให้ใกล้ชิดมากขึ้นโดยการใช้การตอบโต้ทางอารมณ์ที่ดุเดือดเผ็ดมันเป็นยุทธวิธี

เช่นเดียวกันก็ผลักฝั่งตรงข้ามให้ห่างไกลขึ้นอย่างมากขึ้นไปอีกเรื่อยๆ

ช่วงแรกๆ ถึงกับมีข่าวว่าถูกผู้ใหญ่ของพรรคเรียกหารือ นายสุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี ในฐานะประธาน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ถึงกับออกตัวว่าการแสดงความคิดเห็นของน.ส.ปารีณาเป็นเรื่องส่วนตัว พรรคจะไม่ยุ่ง หรือกรณีที่สื่อมวลชนไปถามคนที่ภาพลักษณ์ดีหน่อย อย่าง น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรค ก็ออกตัวเช่นกันว่าอย่าเหมารวมทั้งพรรค

กรณี น.ส.ปารีณาอาจจะดูแปลกประหลาดสำหรับพื้นที่สื่อมวลชนกระแสหลัก แต่ในพื้นที่สื่อโซเชียลแล้ว วิธีคิดและการปฏิบัติแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก มีให้เห็นทั่วไปกับเซเลบทุกวงการ และทุกฝั่งทางการเมือง นับว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ที่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างใหญ่ ความขัดแย้งครั้งใหญ่ของสังคมไทยว่าไม่จบง่ายๆ แน่

ไม่รู้ว่านักการเมืองผู้ซึ่งชื่นชอบหนังสือเรื่อง The Prince ของแม็กเคียเวลลี นักปรัชญาการเมืองชื่อดังท่านนี้ จะเป็นแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน

แน่นอนว่า ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป กระสุนปืนครกจากทุกที่จะยังคงตกใส่ไม่หยุด ไม่ใช่แค่จากฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองแน่นอน