จิตต์สุภา ฉิน : FaceApp ยิ่งหน้าแก่ก็ยิ่งน่าแชร์

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin

ประมาณ 1-2 วันเต็มๆ ที่เลื่อนหน้าฟีดเฟซบุ๊กไปไกลหรือบ่อยแค่ไหนก็จะได้เห็นภาพคนแก่ ผิวหนังเหี่ยวย่น ผมสีดอกเลาทิ้งตัวอย่างเป็นธรรมชาติปรากฏขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ไม่รู้จบ

ดูแว้บแรกอาจจะยังไม่ทันรู้ว่าใคร แต่เพ่งอีกแค่ไม่กี่วินาทีถึงแม้จะยังไม่ได้ตวัดสายตาขึ้นไปดูชื่อคนโพสต์แต่ก็พอจะเริ่มเห็นเค้าลางขึ้นมาทีละนิดๆ ว่าภาพคนแก่ที่เห็นตรงหน้าน่าจะเป็นอนาคตของเพื่อนคนไหน

ที่มาของภาพใบหน้าเวอร์ชั่นชรา ก็คือแอพพลิเคชั่น FaceApp ที่กลายเป็นไวรัลฮิตไปทั่วโลกภายในเวลาอันรวดเร็ว

ตัวฉันเองยังไม่ได้ทดลองใช้และไม่อยากใช้ เพราะไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรือที่จะเห็นหน้าตัวเองในตอนแก่สักเท่าไหร่ (ถ้าโชคดีไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรขึ้นมาก่อนอีกไม่นานเกินรอก็คงจะได้เห็นจากการส่องกระจกแล้ว)

หรือแม้แต่ก่อนหน้านี้ที่ฟิลเตอร์แอพพ์สามารถเปลี่ยนหน้าหญิงเป็นชาย ชายเป็นหญิง หรือผู้ใหญ่เป็นเด็กได้ ก็ไม่ได้รับความสนใจจากฉันสักเท่าไหร่

 

แต่ไม่ว่าจะเล่นหรือไม่เล่น ก็ต้องยอมรับว่าแอพพลิเคชั่น FaceApp ที่เปลี่ยนภาพใบหน้าให้ “ชรา” มากขึ้นนั้นสามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม

การรีทัชภาพให้คนดูสูงวัยขึ้นไม่ใช่ของใหม่ แต่ที่ผ่านมามันดูเหมือนจะต้องใช้กระบวนการที่ยุ่งยาก หรือหากไม่ยุ่งยาก มันก็ออกมาไม่สมจริง อาจจะมีหย่อนตรงนั้นนิด เหี่ยวตรงนี้หน่อยพอเป็นพิธี แต่ก็ยังดูขัดหูขัดตา

ต่างจากแอพพลิเคชั่นนี้ที่ใช้เทคโนโลยีแมชชีนเลิร์นนิ่งที่ให้คอมพิวเตอร์ได้เรียนรู้จากภาพคนแก่จำนวนหลายต่อหลายภาพด้วยตัวเอง จนกลายมาเป็นผลลัพธ์ที่ดูสมจริงพอที่จะเชื่อได้ว่าคนคนนั้นเมื่อแก่ตัวไปแล้วก็น่าจะมีหน้าตาไม่แตกต่างจากที่แอพพ์ประมวลผลออกมาสักเท่าไหร่

ซึ่งภาพของเพื่อนบางคนก็ทำให้ฉันแอบตกใจเอามือทาบอกอยู่บ้างก็มี

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่คนทยอยแชร์ภาพหน้าตัวเองตอนแก่ ก็คือการที่สื่อต่างๆ ทั้งต่างประเทศและในไทยทยอยกันออกมาเตือนภัยอย่างร้อนรนด้วยการบอกว่ามันจะล้วง เจาะ ดูดข้อมูลจากเครื่องของเราไป อย่าเสี่ยง! ให้ทุกคนหยุดใช้งานทันที!

พวกคลิปหรือบทความเตือนภัยเหล่านี้ดูเหมือนจะได้รับความสนใจอย่างล้นหลามเพราะทุกคนต่างก็แท็กเพื่อนให้มาดูมาอ่านกันถ้วนหน้า

เมื่อฝุ่นหายตลบ ก็ค่อยๆ มีคนก้าวออกมาบอกว่า ใจเย็น มันไม่ได้แย่อย่างที่คิด

 

สําหรับฉัน การที่สื่อบ้านเราออกมาเป็นเดือดเป็นร้อนกันว่าแอพพ์นี้จะรุกล้ำความเป็นส่วนตัวและก็ได้รับความสนใจจากผู้อ่านด้วยนั้นนับเป็นสัญญาณที่ดีว่ามีการตระหนักรู้และใส่ใจเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลกันมากขึ้น

ย้อนกลับไปสักปีสองปี คงแทบไม่มีข่าวทำนองนี้ออกมา หรือออกมาก็อาจไม่มีคนสนใจ หาว่าเป็นพวกขวางโลกอะไรแบบนั้น

การตื่นตระหนกเรื่อง FaceApp ในครั้งนี้ก็เข้าใจได้ว่าที่มาที่ไปมาจากไหน เท่าที่เห็นส่วนใหญ่ก็คือการแปลข่าวมาจากสำนักข่าวที่เป็นสัญชาติอเมริกันเสียเป็นส่วนใหญ่

เนื่องจากตัวแอพพ์ขึ้นชื่อว่าเป็นของรัสเซีย เรื่องน่าจะเริ่มต้นมาจากทวีตที่บอกว่า FaceApp อับโหลดภาพทั้งหมดในเครื่องของเราขึ้นไปเก็บไว้ในคลาวด์ แต่ FaceApp ก็ออกมาปฏิเสธว่าจะใช้เฉพาะภาพที่เราเลือกเท่านั้น และจะเก็บไว้นานแค่ 48 ชั่วโมงด้วย

ส่วนตัวเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ประมวลผลก็อยู่ในอเมริกานั่นแหละ ไม่ได้อยู่ที่รัสเซียเสียหน่อย

แถมคลาวด์ที่ใช้ก็ยังเป็น Amazon ของอเมริกาอีกต่างหาก

การที่แอพพ์จะต้องส่งภาพไปถึงบนคลาวด์ก็เพราะว่ามันต้องการพลังในการประมวลผลมากเกินกว่าที่จะสามารถทำบนโทรศัพท์ของผู้ใช้งานได้

โทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ อาจจะไหว แต่ผู้ใช้งานจำนวนมากไม่ได้ใช้โทรศัพท์ราคาแพงที่สามารถทำเช่นนั้นได้

การส่งขึ้นไปบนคลาวด์ก็เลยเป็นเรื่องจำเป็น

และการขออนุญาตเข้าถึงรูป เข้าถึงกล้อง นั้นก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากแอพพลิเคชั่นแต่งภาพแอพพ์อื่นๆ เลย ที่สำคัญ ยังตรงไปตรงมามากกว่าบางแอพพ์ และยังเก็บข้อมูลน้อยกว่าโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊กเสียด้วยซ้ำ

ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลเลยที่เราจะกลัว FaceApp แต่ก็ยังใช้แอพพ์แต่งภาพแอพพ์อื่นแบบชิลๆ ยังอัพโหลดภาพส่วนตัว ข้อมูลส่วนตัว ไปบนอินเตอร์เน็ต แชร์ทุกอย่างที่ขวางหน้าบนโซเชียลมีเดีย FaceApp ก็เป็นหนึ่งในการยอมแลกข้อมูลส่วนตัวบางอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความสนุกสนานชั่วคราวเหมือนๆ กัน

แต่แค่พอดีว่าคราวนี้มันมีเรื่องการเมืองระหว่างสหรัฐอเมริกากับรัสเซียเข้ามาเกี่ยวก็เลยทำให้วุ่นวายยุ่งเหยิงกันกว่าที่ควรจะเป็น

 

แต่ถามว่าแล้วเป็นเรื่องดีไหมล่ะที่เราจะฉุกคิดถึงความปลอดภัยขึ้นมา

อย่างไรก็ดีเสมอค่ะ การจะอัพโหลดภาพใบหน้าของเราไปที่ไหนสักแห่ง หากหยุดคิดขึ้นมาว่า เอ๊ะ มันปลอดภัยแค่ไหนนะ ก็ย่อมดีกว่าจะไม่คิดอะไรอยู่แล้ว

ซึ่งจริงๆ เราควรทำแบบนี้กับทุกแอพพ์ไม่ใช่เฉพาะแค่แอพพ์ที่ตกเป็นข่าวเท่านั้น การอ่านเงื่อนไขการใช้งานอย่างละเอียดก็จะทำให้เราระวังตัวได้มากขึ้น หรือหากรู้สึกตงิดใจกับการใช้แอพพ์ไหน ถ้ามันไม่ได้จำเป็นอะไรมาก ไม่ใช้เลยก็ดูจะไม่เสียอะไร ตกเทรนด์ไปก็แค่วันหรือสองวันเท่านั้น

จะว่าไปก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน ปกติแล้วที่ผ่านมาคนมักจะชอบแชร์ภาพที่ตัวเองดูดีที่สุดเสมอ

ไม่ว่าจะเป็นภาพที่เราใส่ชุดออกกำลังกายเอวลอยเกร็งหน้าท้องให้แน่นปึ้ก ภาพบิกินี่โชว์ก้นยกสวยๆ ภาพอาหารการกินหรูหรา เซลฟี่ที่เราจัดมุมองศาของการหันหน้ามาเป็นอย่างดี หรือภาพที่หันหน้ารับแสงและไม่มีริ้วรอยให้เห็นแม้แต่นิดเดียว

จากที่เราต้องใช้แอพพ์เพื่อแต่งให้ภาพเราไร้ตำหนิ ลบรอยเหี่ยว รอยดำ และความหย่อนยาน เพื่อพรีเซนต์ตัวเองในรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดและอ่อนวัยที่สุด

จู่ๆ การแชร์ภาพหน้าเหี่ยวๆ กลับกลายเป็นเทรนด์ที่ทุกคนพร้อมกันทำอย่างภาคภูมิใจและสนุกกับมันเสียด้วย

สำหรับฉันมันเป็นสัญญาณที่อาจจะทำให้เห็นว่าเราเริ่มมาถึงจุดที่เอือมระอากับการใช้ฟิลเตอร์หน้าเนียน ตาโต คางแหลมกันแล้ว และกำลังมองหาวิธีการนำเสนอตัวเองในรูปแบบใหม่ๆ ดูบ้าง

FaceApp ก็เข้ามาได้ถูกเวลาพอดี ซึ่งฉันนี่แหละที่เป็นคนหนึ่งซึ่งรู้สึกเพลิดเพลินไปกับการนั่งดูภาพเพื่อนตอนแก่มากกว่าภาพหน้าขาวใสจนไร้รูขุมขน

FaceApp จะไม่ใช่แอพพ์สุดท้ายที่ตกเป็นกระแสให้หวาดกลัวกันแบบนี้แน่นอน

แต่ในระหว่างนี้เราก็จะฝึกปรือการใส่ใจความปลอดภัยของข้อมูลเรากันมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเตรียมรับมือด้วย

ไม่ว่าแอพพ์ต่อไปจะเปลี่ยนหน้าเราให้กลายเป็นอะไรก็ตาม