ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 มกราคม 2556 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟโบราณ |
เผยแพร่ |
นายตำรวจยศร้อยตำรวจเอก รองสารวัตรแผนกสถิติ กก.ข่าว บช.น. เขาเป็นศิษย์เก่าสวนกุหลาบรุ่นเดียวกับลูกชายผม เราจึงเรียก “พ่อ-ลูก” กันอย่างสนิทใจไม่ขัดเขิน ผมเอาใจใส่เขามากกว่าเพื่อนของลูกคนอื่นอยู่บ้าง ตรงที่เขาเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจจากสามพราน และช่วยงานผมมากในเรื่องคอมพิวเตอร์
วันหนึ่งเขามาปรึกษากับผมว่า “จะลาออกดีไหม พ่อ”
หัวหน้าหน่วยงานที่จู่ๆ ผู้ใต้บังคับบัญชามาขอลาออกย่อมกระเทือนใจอย่างยิ่ง วินาทีแรกอดคิดไม่ได้ว่ามีบางอย่างเราทำผิดพลาดมหันต์จนลูกน้องขอลาออก และผู้บังคับบัญชาที่ดีควรต้องรับผิดชอบในการลาออกของลูกน้องด้วย
ครั้งหนึ่งผมเคยพูดในที่ประชุมผู้ใต้บังคับบัญชาว่า ผมไม่อยากเห็นใครมาสิ้นใจในบ้าน เพราะฉะนั้น อย่าทำอะไรที่ผิดร้ายแรงให้ผมต้องเอาเรื่องถึงย้ายหรือออก
นายตำรวจหนุ่มรีบชี้แจงเมื่อเห็นผมออกอาการตะลึงงัน “ผมสอบเป็นนักบินของสายการบินได้ครับ แต่ลังเลตัดสินใจไม่ถูก มาปรึกษาพ่อก่อน”
“รีบลาออกเร็วๆ เลยลูก เดี๋ยวจะเปลี่ยนใจ” ผมตอบทันทีเมื่อทราบเหตุผล
นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นผม (ปีเข้า พ.ศ.2498) มีเรื่องลาออกเกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่เข้าโรงเรียนเลยทีเดียว
คุณแม่ของ อนันต์ เสนาขันธ์ นั่งรถเก๋งส่วนตัวตามรถโรงเรียนจากสโมสรกรมตำรวจ ปทุมวันจนถึงสะพานโพธิ์แก้ว อำเภอสามพราน แล้วท่านก็ได้เห็นการ “ซ่อม”
อย่าว่าแต่ท่านเลยที่ตกตะลึงกับการต้อนรับของรุ่นพี่ แม้แต่พวกเราเองก็ไม่นึกฝันว่าจะเข้มข้นถึงขนาดนั้น รุ่นพี่สั่งเราเข้าแถวแล้ววิ่งกลางแดดจากสะพานโพธิ์แก้วเข้าโรงเรียน วิ่งอย่างเดียวก็นับว่าสาหัสอยู่แล้ว แต่หลายครั้งที่พี่ๆ สั่งให้เรากลิ้งตัวไปบนพื้นถนนลาดยางมะตอยที่ถูกแดดละลายเยิ้ม
คุณแม่ของอนันต์ไขกระจกรถตะโกนบอกลูกชาย
“โรงเรียนบ้าๆ อย่าไปเรียนมันเลยลูก ลาออกเถอะ!”
อนันต์ไม่ฟังแม่และไม่ลาออก
คนที่ลาออกจริงมี 2 คน หลังจากเรียนไปได้ประมาณครึ่งปี เราไม่ได้ข่าวคราวและไม่ได้พบกันอีกเลยเหมือนตายจาก เราพยายามเรียกเพื่อนกลับมาเป็นเพื่อน (โดยไม่ต้องเป็นตำรวจก็ได้) แต่ไม่ได้ผล ผมคิดว่า เขาไม่ชอบชีวิตตำรวจที่ขาดอิสระเสรี
คนหนึ่งเป็นหม่อมหลวง อีกคนเราเรียกเขาว่า “คม” ทั้งคู่มีดีอย่างอื่น
คมหุ่นดีและหน้าตาหล่อเหลา พูดได้ว่าเขามีลักษณะท่าทางคล้าย เจมส์ ดีน ครั้งที่มีคณะตำรวจของชาติตะวันตกมาดูงาน คมเป็นคนหนึ่งที่ถูกเลือกเป็นนายแบบเพื่อแต่งเครื่องแบบชุดเต็มยศให้ฝรั่งชม
วันที่คมออกจากโรงเรียน เขาหิ้วกระเป๋าเดินทางลงมาจากตึกนอน กองร้อย 1 สวนกับผมที่บันได เป็นที่รู้กันว่าเขามีปํญหาอะไรสักอย่างมาก่อนและพยายามจะลาออก ผมกางแขนกั้นเขาไว้ พูดแบบออกคำสั่งซื่อๆ เซ่อๆ ว่า “ไม่ให้ไป”
เขาหยุดชะงักนิดหนึ่ง แต่แล้วส่ายหน้า ผลักผมให้พ้นทางแล้วเดินจากไป
หลายคนลาไม่ลับ
คนหนึ่งเชื้อสายตำรวจมาแต่ดึกดำบรรพ์ ปู่ พ่อ เป็นตำรวจใหญ่ รวมทั้งน้องๆ และญาติในตระกูลเดียวกันก็ทยอยกันเป็นตำรวจ เพื่อนคนนี้ออกไปจากโรงเรียนในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์แล้วไม่กลับมาเป็นเวลาหลายวัน จนผู้ปกครองต้องเอาตัวมาส่ง
ถูกตัดคะแนนความประพฤติไปตามระเบียบก่อนเรียนต่อจนจบ
เพื่อนชื่อ จารึก เมฆวิชัย (พล.ต.ท.) เป็นนายตำรวจแล้วลาออกตอนเป็นนายพัน 2 ครั้ง ตอนเป็นนายพลอีกครั้ง (ตามประสาคนมีดีที่ไม่ง้องานราชการ) ครั้งที่ลาออกหนแรกผมตามไปถึงบ้าน แล้ววิงวอนขอร้องจนเขายอมเปลี่ยนใจ
ครั้งที่สองเป็น พ.ต.อ. (พิเศษ) ได้ยื่นใบลาออกไปแล้ว แต่ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเรียกไปบอกว่า การลาออกของเขาถูกบิดเบือนและปั้นเป็นข่าวว่าลาออกเพราะท่าน ทำให้ภาพพจน์ของท่านเสียหาย
หมายความว่าจารึกตกเป็นเครื่องมือของ “วิชามาร” ในกรมตำรวจ จารึกรีบไปถอนใบลาออกทันที
ตอนเป็นนายพลแล้วจารึกลาออกอีกครั้ง ผมไม่ทราบเบื้องหลัง เพียงแต่อ่านพบจากข่าวพาดหัวใน น.ส.พ. แต่ในที่สุดผู้ใหญ่ระดับสูงไม่อนุมัติให้ลาออก
อีกคนหนึ่ง สมัคร์ อภัยสุวรรณ (พล.ต.ต.) เมื่อครั้งเป็นรองสารวัตร ยศ ร.ต.ต. หรือ ร.ต.ท. อยู่โรงพักในนครบาล ถูกย้ายไปอำเภอนาแก สมัคร์ลาออกทันทีเพราะสาเหตุมาจากทะเลาะกับผู้บังคับบัญชา บังเอิญช่วงเวลานั้นอำเภอนาแกได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่สีแดง (คอมมิวนิสต์) หลายคนที่ไม่ทราบเบื้องหลังลึกๆ ตำหนิ และหาว่าเขา “หนี”
ผมซึ่งเป็นคู่หู-ชอบเขียนรูปเหมือนกัน-ทราบดีถึงสาเหตุการย้ายครั้งนี้ ยังแอบอิจฉาที่เขาได้งานใหม่เงินเดือนสูงในจัสแมก ขณะเดียวกันก็สมน้ำหน้ากรมตำรวจที่ต้องสูญเสียคนดีมีความรู้ไป
ผมเห็นเขาเดินนำหน้าทหารอเมริกันไปในเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับงานของจัสแมกในไทย เขาพูดและเขียนภาษาอังกฤษได้เหมือนฝรั่งคนหนึ่ง
เขาบอกผมว่า “เราไม่ยอมให้นายสิบเดินนำหน้าเรา”
สมัครได้ข่าวจากที่ไหนสักแห่งว่าผมอยากลาออก เขามาห้ามผมถึงห้องพักที่กองปราบปราม โดยสาธยายถึงความรู้สึกอึดอัดของคนเป็นลูกจ้าง
เมื่อเมฆหมอกผ่านไป สมัครกลับมารับราชการตำรวจอย่างเดิม โตขึ้นก็สอนหนังสือน้องๆ หลานๆ และได้เป็นนายพลก่อนเกษียณหลายปี
เพื่อนนักเรียนนายร้อยของผมอีกคนหนึ่งชื่อ ธนเกียรติ วงศาโรจน์ ลาออกขณะมียศ “พันตำรวจตรี” ในตำแหน่งนักบินปีกหมุน (เฮลิคอปเตอร์) ไปเป็นนักบินของการบินไทย ได้บินไปทั่วโลกจนเกษียณอายุ
ผมใส่ไตเติ้ลหน้าชื่อของเขาในสมุดโทรศัพท์และทุกที่ที่เอ่ยชื่อเขาว่า “กัปตัน” หรือ “Capt.” ผมภูมิใจที่มีเพื่อนเป็นกัปตันมากกว่าที่เป็น พ.ต.ต.
ตอนที่ลาออกใหม่ๆ กัปตันชี้แจงกับเพื่อนถึงเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนงาน พวกเราแม้จะเสียดายแต่ก็แสดงความยินดีและเข้าใจเหตุผลของเขา
นายตำรวจสมัยผมเป็นนายร้อย นายพัน ถ้าพ่อแม่ไม่ร่ำรวยมาก่อน (หรือร่ำรวยแต่ไม่ช่วยจ่าย) ต่างมีฐานะทางเศรษกิจย่ำแย่กันทั้งนั้น… บ้านหลวงก็ไม่มีให้อยู่ ค่าเช่าบ้านก็ไม่มีสิทธิเบิก รถหลวงก็ไม่มีให้ใช้ราชการ หรือมีให้ใช้ก็ต้องเดิมน้ำมันเอง ฯลฯ
รถยนต์ส่วนตัวเป็นความจำเป็นด้วยว่าต้องเดินทางเร่งรีบตลอดเวลา ไม่ใช่เป็นไลฟ์สไตล์อย่างที่ถูกค่อนแคะ เราต้องกัดฟันซื้อแบบผ่อนส่งทำให้เป็นคนมีหนี้สินแต่ยังหนุ่ม และไม่สมควรมีครอบครัว
กัปตันเป็นเลขาฯ ของรุ่น แต่โดยพฤตินัยเขาเป็นทุกอย่าง… เป็นประธานรุ่น เป็นที่ปรึกษาหรือกูรูระดับกูเกิ้ล เป็นอาจารย์ภาษา ครูการนั่งสมาธิ ครูการใช้แก็ดเจดยุคใหม่ รวมทั้งเป็นพิธีกรและไวยาวัจกรในงานบุญ
เขาเป็น “คำตอบ” ให้ผมได้ใช้แนะนำลูกชาย ให้รีบลาออกไปเป็น “กัปตัน”