การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ เราทุกคนยังต้องโอภาปราศรัย

เพียงบัว,

ในจดหมายฉบับก่อน ฉันเล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับบางเหตุการณ์ที่เกิดกับฉัน อันที่จริง นั่นเป็นเพียงสิ่งที่เล็กน้อยมาก หากจะเทียบกับอีกหลายเรื่องอื่นๆ และฉันตกลงใจแล้วว่า ในขณะที่เรายังไม่ได้พบกัน บางที ฉันจะค่อยๆ เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้เธอฟัง

ฉันแค่หวัง…ว่าเธอจะรับฟังมัน เพื่อทำความรู้จักกับฉัน แล้วเล่าเรื่องราวของเธอ เพื่อให้ฉันได้รู้จักเธอ เพราะเรามาพบกันโดยความไม่คาดฝันของเราทั้งคู่ แต่การจะอยู่ด้วยกัน การจะรู้จักกันให้มากที่สุดก่อน ทั้งส่วนมืดและส่วนสว่าง อาจจะทำให้เราไม่ต้องเสียใจอีกในภายหลัง

เอาละ ฉันจะเล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับบุคคลที่มีอิทธิพลต่อชีวิตฉันที่นี่, ก่อนหน้านี้ ซึ่งเรื่องราวต่อไปนี้ เธอจะคิดอย่างไรกับมัน ก็บอกกับฉันได้ตามตรงทุกเมื่อ

 

ฉันมีลูกพี่ลูกน้องอยู่คนหนึ่ง ฉันมีความสัมพันธ์พิเศษกับเขา

ฉันมีคนที่ตัวฉันแอบหลงใหลอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่มีอะไรลึกซึ้งพิเศษทางร่างกาย แต่จิตใจของฉันยังสั่นไหวอยู่บ้างหากได้พบหน้า

ฉันมีคนที่เคยมีความสัมพันธ์ขั้นลึกซึ้งอีกคนหนึ่ง แต่เราก็ห่างกันไปแล้วตามเวลา ครั้งหลังสุดที่พบกัน ฉันไม่อาจบอกได้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกับเขากันแน่ แต่ฉันคิดว่า เขาอาจจะรักฉัน

ทั้งสามคนนี้ คือคนที่เกี่ยวข้องกับฉัน นับตั้งแต่ที่ฉันกลับมาอยู่ในหมู่บ้านนี้อีกครั้ง ชีวิตของฉันในวันก่อนๆ มีอีกหลายคนที่เกี่ยวข้อง, ถูกละ มีมากกว่านี้ แต่พวกเขาก็เป็นเพียงเงาที่จางไป

ฉันไม่อาจบอกได้แจ่มชัดว่าฉันคิดกับคนทั้งหมดอย่างไร แต่ฉันมีความคิดว่า มันไม่ได้แปลกอะไรหากเราจะรักใคร ใครจะรักเรา เราไม่รักใคร ใครไม่รักเรา ฯลฯ ทุกคนควรมีสิทธิ์ที่จะรัก และสิทธิ์ที่จะไม่รัก

อย่างไรก็ตาม ฉันไม่แน่ใจว่า เวลาเธอพูดถึงความรัก ความรักของเธอเป็นแบบไหน ที่เธอเล่าถึง “พี่ไผ่” เขากับเธอรักกันอย่างไร เธอบอกว่า เธอเองก็สับสนว่า ตัวเองรักเขามากน้อยแค่ไหน ในข้อนี้ฉันก็อยากบอกว่า ไม่ต้องแปลกใจไปหรอก ฉันเองก็สงสัยบ่อยๆ เหมือนกัน ทั้งกับความรู้สึกของตัวฉัน และความรู้สึกของคนอื่น

ฉันเคยมีคนที่บอกรัก, บอกรักฉัน และฉันมีคนที่ฉันรู้สึกว่ารัก แต่ให้ตายเถอะ ความรักของคนเราไม่เคยเท่ากัน

ฉันยอมรับว่า ฉันเจ็บปวดและเสียใจอยู่หลายครั้ง ยามที่รักแล้วก็ต้องผิดหวัง

แต่ไม่หรอก เพียงบัว, ฉันไม่เคยผิดหวังแค่เพราะรู้สึกว่าพวกเขาไม่รักฉัน แต่ฉันผิดหวัง กับสิ่งที่พวกเขากระทำกับฉันต่างหาก

 

มีเรื่องเล็กๆ อีกเรื่องหนึ่งอยากจะเล่าให้เธอฟัง

ตอนที่ฉันทำงานอยู่ในแปลงเพาะนั้น พวกเรามีหัวหน้างานอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่านายสวาศ แต่ฉันจะเขียนเป็นตัวย่อก็แล้วกันนะ ต่อไปนี้จะเรียกว่า นาย สว.

นาย สว.คนนี้ เป็นคนที่รูปร่างสูงใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่คนอ้วน หน้าตาธรรมดา ไม่เชิงว่าหล่อ แต่ก็ไม่ได้ขี้ริ้วอะไร ในสายตาของฉันก็เป็นหัวหน้างานคนหนึ่ง เมื่อสั่งอะไรก็ต้องทำตาม พ้นเวลางาน บังเอิญพบปะกันที่ไหนก็ทักทายกันตามธรรมดา

ฉันเองไม่ได้สุงสิงกับนาย สว.คนนี้เลย ส่วนใหญ่พบกันตามเวลางานเท่านั้น

แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่ง นาย สว.คนนี้ก็มาที่บ้านของฉัน

“น้องพี่อยู่ไหมครับ”

ฉันได้ยินเสียงของเขา ตอนกำลังซักผ้าอยู่ที่ลำน้ำข้างบ้าน เป็นวันที่ฉันเหมางาน จึงได้ออกเร็ว รีบกลับมาซักผ้า

ตอนนั้นน่าจะเป็นเวลาสักบ่ายสี่โมงกว่า ก็ว่าได้ยินเสียงรถเครื่องเข้าบ้าน แต่คิดว่าคนคงมาหาพ่อตามปกติ ไม่ได้สนใจอะไร

แต่พอได้ยินชื่อตัวเอง ฉันก็เลยสนใจขึ้นมา

“อยู่ กำลังซักผ้าอยู่นั่น” เสียงพ่อของฉันตอบ “มีอะไรกับมัน เดี๋ยวพ่อไปเรียกให้”

“เห็นวันนี้กลับมาเร็ว บอกว่าเหมางานมา หรือว่าละงานมา…” เสียงแม่

“ไม่ใช่ครับ” เสียงนาย สว.รีบตอบ “ไม่ต้องเรียกน้องก็ได้ ผมอยากจะมาขออนุญาตพ่อหนานกับแม่ดาไว้ก่อน”

“เรื่องอะไร”

ฉันรู้สึกประหลาดใจมาก แล้วจึงขึ้นมาจากท่าน้ำ (ที่บ้านของฉันมีจุดที่น้ำแยกออกเป็น 2 สาย ด้านหนึ่งไปทางฝั่งฝาย อีกด้านจะไหลแคบลงเป็นน้ำเหมืองส่งเข้าไร่นา ฉันซักผ้าอยู่ตีนท่า ซึ่งตรงนั้นมีต้นฝรั่งขี้นก และดอกปักษาสวรรค์อยู่กอใหญ่)

“ผมอยากจะมาขอไว้ล่วงหน้า อยากจะ…” ฉันได้ยินคำตอบของนาย สว.

 

ไม่นานจากนั้น นาย สว.ก็ขี่รถออกจากบ้านไป ฉันเอาผ้าไปตากแล้ว ก็เห็นพ่อกับแม่นั่งรออยู่ที่แคร่ไม้ไผ่ใต้ถุนบ้าน

“ไหน มาเล่าให้แม่ฟังหน่อย เรื่องไปยังไงมายังไง” แม่เอ่ยถามทันที

ฉันยืนงงอยู่ มือยังเปียกจากการตากผ้า

“เรื่องอะไรล่ะ”

“ก็เรื่องที่เขามาหา มาขออนุญาต ไปแอ่วไปอู้กันมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ไม่มีนี่” ฉันยังงุนงงอยู่มาก “ไม่เคยอู้กับเขา”

คำว่า “ไปแอ่วไปอู้” สำหรับทางบ้านฉันมีความหมายถึงการเกี้ยวพาราสี การที่ผู้ชายไปแอ่วหาผู้หญิงเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป บ้านไหนมีสาว ก็จะต้องมีผู้ชายไปแอ่ว แต่ส่วนใหญ่ก็จะไปกันตอนกลางคืน เหมือนพี่ชายของฉันก็ไป “แอ่วสาว” กับเพื่อนๆ ส่วนถ้าเป็นผู้หญิง หากยังไม่มีแฟน หลังกินข้าวแลงแล้วก็จะทาแป้งทาลิป รอคนขึ้นมาแอ่วหา

ผู้ชายคนหนึ่งสามารถไปแอ่วได้หลายๆ บ้าน ส่วนผู้หญิงก็สามารถต้อนรับผู้ชายทุกคนที่ขึ้นบันไดมา จนกว่าจะตกลงปลงใจกับใคร

แต่นาย สว.ไม่เคยมาแอ่วหาฉัน และเท่าที่ฉันดู เขาน่าจะอายุมากกว่าฉันเป็น 10-20 ปีได้

ฉันยังนึกว่าเขาน่าจะมีเมียแล้วเสียอีก

“แล้วเขาว่าอย่างไรบ้าง” ฉันถามไปกับพ่อแม่

“ก่ไม่ได้ว่าอย่างใด เขามาขออนุญาต”

“ขออนุญาตอะไร” ฉันเริ่มรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมา

“ขออนุญาตหลายอย่าง”

“เรื่องอะไรบ้างล่ะ!” ฉันคิดว่าตัวเองไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ “แล้วมาขอพ่อกับแม่ทำไม ไม่เห็นได้ชวนฉันก่อนเลยสักคำ”

“ก็นั่นแหละ เลยสงสัยว่าไปอู้ไปแอ่วกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ จะมาแอ่วบ้านก็ไม่เคย หรือว่าไปอู้กันตอนทำงาน”

“ไม่เคยอู้!” ฉันตอบทันที

“แล้วนี่พ่อกับแม่ตอบเขาไปว่ายังไง”

“ก็ไม่ว่าไง เขามาดีเราก็ดีกับเขา” คำตอบของพ่อ “ถือว่าเป็นลูกผู้ชายใช้ได้ มาขอพ่อขอแม่ก่อน อายุก็ไม่ใช่น้อย คงจะคิดดีแล้ว ถ้าเขามาชวนไปไหนก็ไปเถอะ”

ฉันจ้องหน้าพ่อแม่ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดที่สุด, จริงนะ เพียงบัว ฉันรู้สึกแปลกมาก ทำไมชีวิตของตัวฉันจะต้องขึ้นอยู่กับคนอื่นเสมอไป

มีคนอยากจะพาฉันไปดูหนัง แต่ไม่ได้พูดกับตัวฉัน และการที่พ่อแม่อนุญาตเกี่ยวกับตัวฉัน ก็ไม่ได้ถามฉันก่อนเลย

บางทีมันก็เป็นแบบนี้ ที่ทำให้ฉันกลายเป็นคนขวางโลก เพราะฉันไม่ชอบใจ ฉันไม่ต้องการปล่อยทุกอย่างผ่านไป เพียงเพราะคนอื่นตัดสินใจให้ ฉันคิดว่าตัวเองพยายามมาตลอดเวลาที่จะก้าวเดินด้วยสองขาของตัวเอง ตัวแม่เองก็พูดอยู่บ่อยๆ ว่าคนเราต้องอยู่ด้วยตัวเองให้ได้

แต่ทำไมผู้ชายคนหนึ่งถึงสามารถเดินเข้ามาในบ้านฉัน พูดเกี่ยวกับฉัน โดยที่ตัวฉันได้รับรู้หลังสุดทุกๆ คน

 

ตกวันรุ่งขึ้น นาย สว.คนนั้นก็มาบ้านฉันอีก และคราวนี้อยู่กินข้าวเย็นด้วยที่บ้าน

พ่อกับแม่ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี วันนั้นที่บ้านมีน้ำพริกกับอะไรอีกสักอย่าง แม่ก็ลงมือทำไข่ทอดเพิ่ม ฉันไม่สู้จะพอใจ แต่ก็จำเป็นต้องร่วมโตกอย่างเสียไม่ได้

ฉันยังรู้สึกแปลกประหลาดใจอยู่ไม่หาย ตกกลางวันที่ไปทำงานในแปลงเพาะ นาย สว.ก็ไม่ได้เข้ามาพูดจาพิเศษอะไรกับฉัน สั่งงานกับทุกคนแบบปกติดี แต่พอเลิกงานมา กลับอาบน้ำอาบท่ามาหาฉันที่บ้าน

วันนั้น ฉันเองก็กินข้าวไป ทำหน้าบึ้งหน้างอไป อดคิดอยู่ในใจไม่ได้ว่า ควรจะรีบกินให้อิ่มเสียเร็วๆ จะได้แยกย้ายลงเรือนไปเสียที

ตอนที่อยู่ในโตกข้าว นาย สว.ก็เอาอกเอาใจฉันอย่างน่ารำคาญ

“น้องชอบกินอะไรอีกบ้าง”

ฉันไม่ตอบ

“ที่กาดเวียงมีอยู่ร้านทำแกงกะทิอร่อยมาก ถ้าน้องอยากกิน วันหลังอ้ายจะไปซื้อมาฝาก”

“โอ้ย ไม่ต้องไปซื้อหรอก แม่เขาก็ทำบ่อย ทำอร่อยเหมือนกัน แกงกะทิ แกงเผ็ด” พ่อรีบพูดขึ้นมา

“พรุ่งนี้ก็ว่าจะแกงอยู่” แม่ว่า แล้วหันไปหาพ่อ “พรุ่งนี้เช้า พี่เก็บมะแคว้งกุลาให้หน่อยนะ”

“ได้ ได้” พ่อรีบรับคำ

นาย สว.ยิ้มร่า

“งั้นพรุ่งนี้ผมจะเตรียมล้างท้องมา”

“ไม่ต้องมาหรอก” ฉันเอ่ยปากออกไป

“อ้าว!” พ่อเหลียวดูหน้า แต่นาย สว.ยังยิ้มอยู่ในหน้า

“ดูน้องเขาไม่อยากต้อนรับผมเสียแล้ว คงอดกินแกงกะทิฝีมือแม่”

“ไม่หรอกน่า พี่เขาเป็นอย่างนี้แหละ” พ่อตอบออกไปอีก “บ้านนี้ยินดีต้อนรับทุกคน มาเถอะ มาวันไหนก็ได้ ข้าวปลาอาหารบ้านเราก็มีอย่างเท่าที่เห็น เป็นคนจนคนยากอย่างนี้ หัวหน้ายังมาเยือนก็ยินดีนักแล้ว”

ฉันไม่แปลกใจเลย กับคารมคมคายของพ่อ นิสัยของหนาน…อยากจะพูดอย่างนั้น และอดคิดไม่ได้ว่า ครั้งหนึ่ง ที่ยายว่าพ่อใช้เล่ห์กระเท่ห์เข้าหาแม่ ก็คงจะเป็นอย่างนี้

ก็ที่พ่อไปตกลงกับลุง แอบลักใส่ผีกับแม่ ด้วยความเห็นดีเห็นงามของลุงอย่างไรเล่า พ่อจึงได้เอากับแม่ตั้งแต่นั้นมา

 

เพียงบัว, ฉันคิดในวันนั้นเองว่า ชีวิตของเรา เราควรเป็นผู้กำหนดมันได้ทั้งหมดจริงๆ

แต่มันช่างยากเหลือเกิน นับประสาอะไร แค่จะกินข้าวอยู่ในบ้าน ฉันก็ยังต้องมานั่งปั้นหน้าต้อนรับคนที่ไม่ต้องการ

ฉันเคยเฉยๆ กับนาย สว.คนนั้น แต่เมื่อเขาทำแบบนั้น อาศัยช่องที่พ่อแม่ให้การต้อนรับขับสู้ ถือว่าตัวเองขึ้นเรือนมาอย่างถูกต้องธรรมเนียมดี ทว่าฉันก็ยังรู้สึกอยู่ดี มันมีอะไรไม่ถูกต้องอยู่ ข้อนั้นทำให้จิตใจของฉันนึกรังเกียจและโกรธขึ้นมา

ฉันโกรธที่แม้เราจะรู้ว่า มันมีเล่ห์กระเท่ห์อยู่เบื้องใน แต่เราทุกคนยังต้องโอภาปราศรัย ทำเป็นต่างไม่รู้เรื่องรู้ราวใด มีสิ่งที่เราไม่พูดกันตรงๆ เพราะนาย สว.คงเจรจากับพ่อแม่ไปเสร็จสิ้นดีแล้ว ซึ่งก็นั่นไง พวกเขายอมรับในกันและกัน แต่คนที่ปราศจากสิทธิ์จากเสียงมากที่สุดกลับเป็นฉัน

คือตัวฉัน ที่นาย สว.นั่นจ้องจะงาบอยู่

ถูกต้อง ฉันรู้ เพราะฉันก็ไม่ใช่คนโง่ แต่เพราะฉันยังจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับพวกเขาดีๆ ไง