นงนุช สิงหเดช : เมื่อ “เด็กอมมือ” เป็นผู้นำอเมริกา

ผ่านไปเกือบ 2 เดือนแล้วหลังชนะเลือกตั้งได้เป็นว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ แต่ว่านิสัย “เด็กอมมือ” ขาดวุฒิภาวะอย่างร้ายแรง ยังคงติดตัว โดนัลด์ ทรัมป์ อย่างเหนียวแน่นแถมข้มข้นกว่าเดิม

จากที่แต่แรกคิดว่าตอนหาเสียงเขาคงแค่อยากสร้างสีสันหรือคะแนนนิยมให้ตัวเอง เมื่อชนะเลือกตั้งแล้ว คงปรับตัวให้น่าเชื่อถือมากขึ้น พูดน้อยลงหรือไตร่ตรองก่อนพูดมากขึ้น

ทว่า เมื่อเวลาผ่านไปก็น่าจะยืนยันได้ระดับหนึ่งว่ามีแนวโน้มที่อเมริกาคงได้ “วายป่วง” แน่หากทรัมป์เข้าบริหารอย่างเป็นทางการ

และ โลกทั้งโลกคงปวดหัวยุ่งเหยิง เพราะเอาคนสติไม่ดีมาบริหารประเทศที่ได้ชื่อว่ามหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก

จุดที่โลกจับตามองที่สุดก็คือการที่ทรัมป์ยั่วยุจีนให้โกรธอย่างต่อเนื่อง

เริ่มจากการประกาศจะขึ้นภาษีสินค้าจากจีน 45% แต่นั่นยังไม่เท่าไหร่ หากแต่เรื่องที่ทำให้จีนโกรธอย่างจริงจังก็คือการที่ โดนัลด์ ทรัมป์ คุยโทรศัพท์สายตรงกับ ไช่ อิง เหวิน ประธานาธิบดีไต้หวันคนใหม่ แห่งพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า

ซึ่งเป็นพรรคที่จีนไม่โปรดปราน เพราะพรรคนี้ไม่เคยสนับสนุนนโยบาย “จีนเดียว” ต่างจากยุคของประธานาธิบดี หม่า อิง จิ่ว แห่งพรรคก๊กมินตั๋งที่ทอดไมตรีกับจีนแผ่นดินใหญ่

การกระทำของทรัมป์ถือว่าแหกกฎและจุดยืนของรัฐบาลสหรัฐตลอด 37 ปีที่ยอมรับว่า ไต้หวันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของประเทศจีน ไม่ใช่ประเทศอิสระ

ด้วยเหตุนี้เองทำให้รัฐบาลจีนเริ่มเตรียมตัวรับมือและตอบโต้ทรัมป์อย่างจริงจัง

ซึ่งจากรายงานของสื่อตะวันตกระบุว่าขณะนี้รัฐบาลจีนกำลังจัดทำรายชื่อบริษัทอเมริกันขนาดใหญ่ซึ่งจะเป็นเป้าหมายที่จีนจะเล่นงานเพื่อเอาคืนทรัมป์

AFP PHOTO / DON EMMERT
AFP PHOTO / DON EMMERT

ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้นเพราะต่อมาไม่ทันข้ามวัน สื่อของจีนซึ่งถือเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลได้ออกมาระบุว่าเตรียมจะเล่นงานบริษัทรถยนต์อเมริกันรายหนึ่งฐานผูกขาดทางการค้าแม้จะไม่มีการระบุว่าเป็นบริษัทใด แต่นั่นก็เป็นสัญญาณว่าจีนพร้อมจะเปิดศึกการค้าเพื่อตอบโต้ทรัมป์

ก่อนหน้านี้คนจีนไม่น้อยรู้สึกชอบใจที่ทรัมป์ชนะเลือกตั้ง เพราะเชื่อว่าอย่างน้อยทรัมป์คงมีนโยบายที่ไม่แข็งกร้าวต่อจีนหรือไม่มายุ่งกับจีนเท่ากับพรรคเดโมแครต

แต่การที่ทรัมป์คุยโทรศัพท์สายตรงกับประธานาธิบดีไต้หวันแถมยังพูดว่าไม่จำเป็นต้องยึดถือนโยบาย “จีนเดียว” ที่รัฐบาลสหรัฐชุดก่อนๆ ถือปฏิบัติ ก็ยิ่งทำให้จีนไม่พอใจอย่างหนัก

ท่าทีของทรัมป์สร้างความหวาดผวาให้กับภาคเอกชนสหรัฐที่ไปลงทุนหรือติดต่อค้าขายกับจีนอย่างมาก

จนทำให้ขณะนี้ภาคเอกชนต้องวิ่งเต้นเข้าหาทีมที่ปรึกษาของทรัมป์อย่างเงียบๆ เพื่อรั้งไม่ให้ทรัมป์ไปไกลกว่านี้จนถึงจุดแตกหัก

เพราะไม่เช่นนั้นแล้วธุรกิจเอกชนสหรัฐสะเทือนหนักแน่ ตั้งแต่รถยนต์ไปจนถึงสินค้าไอที

หรือแม้กระทั่งสินค้าชิ้นใหญ่อย่างเครื่องบินโบอิ้ง อาจต้องชวดตลาดจีนไปหมด สะเทือนการค้าระหว่างสองประเทศที่แต่ละปีมีมูลค่าเกือบ 6 แสนล้านดอลลาร์

และผลสะท้อนก็จะส่งกลับมาในสหรัฐที่คนอเมริกันต้องตกงาน

AFP PHOTO / STR / China OUT
AFP PHOTO / STR / China OUT

ต่อมาเกิดกรณีจีนยึดโดรน (drone) ใต้น้ำของสหรัฐในทะเลจีนใต้ โดยสหรัฐยืนยันว่าโดรนดังกล่าวอยู่ในน่านน้ำสากล ไม่ได้อยู่ในน่านน้ำจีนแต่ประการใด

ซึ่งต่อมาการเจรจาของทหารทั้งสองฝ่ายได้ข้อสรุปว่าจีนจะยอมคืนโดรน

เช่นเคยทรัมป์ผู้มือไว ได้ทวีตข้อความเรื่องนี้ออกไปว่า จีนขโมยโดรนสหรัฐไป และยังว่าถ้าจีนอยากได้ก็เอาไปเถอะ จนทำให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องพากันมึนงงว่าสิ่งที่ทรัมป์ทวีตออกไปนั้นถือเป็น “นโยบาย” ของประธานาธิบดีหรือไม่ ยังไม่รวมสิ่งที่เขาพูดว่าไม่จำเป็นต้องยึดถือนโยบายจีนเดียว

เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐยังไม่เคยเจอประธานาธิบดีคนไหนที่จะใช้โซเชียลมีเดียพร่ำเพรื่อเพื่อเขียนข้อความที่เกิดจากความรู้สึกส่วนตัว ขาดการไตร่ตรอง ไม่ผ่านการปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านกิจการต่างประเทศอย่างนี้มาก่อน

ทุกสิ่งที่ทรัมป์ทวีตออกไปจะถูกสื่อทั่วโลกนำไปถ่ายทอดต่อ จึงอาจกลายเป็นความยุ่งเหยิงในอนาคต เพราะนโยบายการต่างประเทศและการทูตเป็นเรื่องอ่อนไหวสูง

ขณะเดียวกัน ทรัมป์ยังไม่ได้ทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ การออกมาทวีตเรื่องต่างประเทศสุ่มสี่สุ่มห้าจึงน่าห่วง

AFP PHOTO / JIM WATSON
AFP PHOTO / JIM WATSON

แต่ดูจากความทะนงตนมั่นใจในตัวเองอย่างผิดๆ แล้ว มีแนวโน้มว่าทรัมป์จะไม่ฟังหรือหารือใครหลังจากเข้าบริหารประเทศอย่างเป็นทางการ เพราะประโยคที่เขามักพูดบ่อยๆ ก็คือ “ผมเป็นคนดี นิสัยดี” และ “ผมเป็นคนฉลาด”

มนุษย์ปกติและมี EQ ปกติ จะไม่พูดยกหางตัวเองว่าเป็นคนดีหรือฉลาด

แต่ขนาดว่าฉลาดเขายังสะกดคำผิด เพราะในทวีตของเขาเรื่องโดรนใต้น้ำนั้น เขาสะกดคำว่า unprecedented (ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน) ผิดอย่างแรง กลายเป็น unpresidented (อาจอนุโลมแปลได้ว่า “ไม่มีความเป็นประธานาธิบดี”) จนถูกสื่อนำไปล้อเลียนยกใหญ่

ดูไปก็คล้ายกับว่าสิ่งที่ทรัมป์เขียนนั้นเหมือนกับด่าตัวเอง ว่าไม่มีความเป็นมืออาชีพแห่งความเป็นประธานาธิบดี

โลกโซเชียล นำคำนี้ไปแชร์และล้อเลียนกันสนั่น บางคนก็ว่าทรัมป์คงเรียนคำนี้มาจาก Trump University ส่วนดิกชันนารีอย่าง Merriam-Webster เขียนว่า “สวัสดี… คำนี้ยังไม่มีในดิกชันนารีของเรา” ด้าน ส.ว. ของพรรคเดโมแครตรายหนึ่งทวีตว่านี่เป็น “ความบ้าระดับนานาชาติ”

AFP PHOTO / Paul J. Richards
AFP PHOTO / Paul J. Richards

ความเป็นเด็กของทรัมป์เห็นได้ชัดตั้งแต่ตอนดีเบตกับ ฮิลลารี คลินตัน ที่เขาไม่สามารถทนรอให้คู่แข่งพูดจบประโยคหรือจบกระแสความ หากแต่พูดแทรกก่อกวนตลอดเวลา คล้ายกับไม่ได้รับการอบรมมารยาทพื้นฐานมาจากพ่อแม่หรือครอบครัว จนทำให้คนอเมริกันเรียกเขาว่าเด็กทารก

จอร์จ ดับเบิลยู. บุช อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ จากพรรครีพับลิกัน ได้ชื่อว่า “หลุดๆ รั่วๆ” และ jerk หรือแม้กระทั่ง moron เรื่องคำพูดแล้ว แต่ยังต้องชิดซ้ายให้กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่พะยี่ห้อรีพับลิกันเหมือนกัน

สื่อจีนได้ออกมาเยาะเย้ยว่า ทรัมป์นั้นไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับวิธีบริหารประเทศมหาอำนาจ และไม่รู้ว่าทรัมป์กำลังเล่นจิตวิทยากับจีนอยู่ หรือเพียงแค่ทรัมป์ไม่มีความเป็นมืออาชีพ

“จีนควรสอนบทเรียนบางอย่างให้ทรัมป์เพื่อให้รู้จักเคารพจีนหลังจากเขาเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เราควรแสดงให้ทรัมป์เห็นว่านโยบายจีนเดียวเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอเมริกา” สื่อจีนระบุ

จากโพลล่าสุด ที่ดำเนินการสำรวจโดยสื่อสหรัฐอย่างเอ็นบีซี/วอลล์สตรีตเจอร์นัล พบว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่ 54% รู้สึกไม่มั่นใจหรือมองในแง่ร้าย หมดอาลัยตายอยากเกี่ยวกับการขึ้นเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์ นับว่าเป็นมุมมองแย่ที่สุดที่คนอเมริกันแสดงออกหลังการเลือกตั้ง โดยเลวร้ายกว่าช่วงหลังเลือกตั้งโอบามา และ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช

หลังเลือกตั้ง ปี 2009 ซึ่ง บารัค โอบามา จากเดโมแครต ได้เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก คนอเมริกัน 66% มองในแง่ดีและมีความหวัง ส่วนช่วงหลังเลือกตั้งปี 2001 ที่ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช จากรีพับลิกันได้เป็นประธานาธิบดี คนอเมริกัน 59% มองในแง่ดีและมีความหวัง