กรองกระแส / ชะตากรรม การเมือง ชะตากรรม ของ อนาคตใหม่ ซ้ำรอย ไทยรักไทย

กรองกระแส

 

ชะตากรรม การเมือง

ชะตากรรม ของ อนาคตใหม่

ซ้ำรอย ไทยรักไทย

 

ท่าทีของ คสช.มีความแจ่มชัดเป็นอย่างยิ่งในการที่จะจัดการกับพรรคอนาคตใหม่ ดำเนินไปหลากหลายยุทธวิธีโดยมีเป้าหมายอันแน่วแน่ว่าจะยุติบทบาทของพรรคอนาคตใหม่ลงให้ได้

ไม่ว่าจะการฟื้นคดีตั้งแต่เมื่อปี 2558 มาเล่นงานนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

ไม่ว่าจะการฟื้นคดีตั้งแต่ยังเป็นส่วนหนึ่งอยู่กับคณะนิติราษฎร์มาเล่นงานอย่างต่อเนื่องกับนายปิยบุตร แสงกนกกุล

ไม่ว่าจะการฟื้นภาพเก่าตั้งแต่เมื่อปี 2553 มาเล่นงาน น.ส.พรรณิการ์ วานิช

ทุกอย่างล้วนมีจุดเริ่มต้นมาจาก คสช. ผ่านกระบวนการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วประสานกับเครือข่ายในภาคประชาสังคม

เป้าหมายเบื้องต้น ต้องการหยุดยั้งบทบาทของหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค โฆษกพรรค

เป้าหมายอันเป็นความต่อเนื่องหากสามารถบรรลุได้ก็จะพยายามอย่างเต็มกำลัง นั่นก็คือ ลบพรรคอนาคตใหม่ออกไปจากสารบบทางการเมือง

เป็นกระบวนการเหมือนที่เคยจัดการกับพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน

บนฐานแห่งความเชื่อมั่นว่าหากสามารถยุบพรรคอนาคตใหม่ หากสามารถหยิบยื่นคดีความให้กับแกนนำสำคัญของพรรคได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

นั่นหมายถึงการทำให้ทุกอย่างของพรรคอนาคตใหม่พังทลายไป

 

ทำไมต้องทำลาย

ทำไมต้องอนาคตใหม่

 

ต้องยอมรับว่าการเคลื่อนไหวที่จะเล่นงานพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นอย่างประปรายในห้วงก่อนวันที่ 24 มีนาคม และทวีความรุนแรงเข้มข้นขึ้นภายหลังจากวันที่ 24 มีนาคมเป็นต้นมา

สาเหตุเนื่องจากความสำเร็จของพรรคอนาคตใหม่

แรกที่พรรคอนาคตใหม่ก่อรูปขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2561 มีคนจำนวนน้อยมากใน คสช.และในแวดวงการเมืองเก่ามิได้ให้ราคา และคาดว่ายากเป็นอย่างยิ่งที่จะแจ้งเกิด

เพราะไม่มีรากฐานมาจากนักการเมืองเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็น ส.ส.

เมื่อไม่มี ส.ส. เมื่อไม่มีสายสัมพันธ์กับการเมืองเก่า พรรคการเมืองเก่า ก็เท่ากับขาดองค์ประกอบสำคัญไป นั่นก็คือ หัวคะแนนและฐานคะแนนเสียง

ยิ่งเมื่อพรรคอนาคตใหม่ประกาศไม่ใช้เงินซื้อ ส.ส. ซื้อเสียง อันเป็นแนวทางที่เป็นไปไม่ได้ในวงจรของการเมืองแบบเดิม ยิ่งทำให้แทบมองไม่เห็นว่าพรรคอนาคตใหม่จะแจ้งเกิดได้อย่างไร จะประสบความสำเร็จได้อย่างไร

แต่แล้วพรรคอนาคตใหม่กลับได้รับเลือกมาด้วยคะแนนมากกว่า 6.3 ล้านเสียง ได้ ส.ส.ในเบื้องต้นเป็นจำนวนมากถึง 87 คน ทั้งระบบเขตและระบบบัญชีรายชื่อ

ความสำเร็จนี้จึงกลายเป็นเรื่องอันตราย เป็นเรื่องน่ากลัว?

 

แนวทางทางความคิด

อนาคตเรากำหนดเอง

 

คําขวัญแรกตั้งพรรคของพรรคอนาคตใหม่ คือ “อนาคตเรากำหนดเอง” และเมื่อพรรคสามารถกำหนดทิศทาง กำหนดความสำเร็จปรากฏออกมาอย่างเป็นรูปธรรม

ชัยชนะและความสำเร็จของพรรคอนาคตใหม่จึงกลายเป็นภัย เป็นอันตราย

เป็นอันตรายกับรักษาสถานภาพเดิมที่ดำรงอยู่ในสังคม เป็นอันตรายกับความคิดในการสืบทอดอำนาจของ คสช. โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นตัวแทน

เป็นอันตรายต่อการเมืองแบบเก่า ผลประโยชน์แบบเก่า

จึงมีความจำเป็นต้องกำหนดยุทธศาสตร์ในการทำลายล้างพรรคอนาคตใหม่อย่างเป็นรูปธรรมโดย คสช.เป็นผู้ลงมือแจ้งความกล่าวโทษด้วยตนเอง

ไม่ว่าต่อพรรค ไม่ว่าต่อแกนนำพรรค

บรรทัดฐานในการจัดการกับพรรคอนาคตใหม่จึงแตกต่างไปจากบรรทัดฐานที่จัดการกับพรรคการเมืองอื่น อย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะโดยการฟื้นเรื่องเก่าตั้งแต่ก่อนจัดตั้งพรรค ก่อนเข้าบริหารพรรคเข้ามาดำเนินการ

ไม่ว่าจะเป็นต่อนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่ว่าจะเป็นต่อนายปิยบุตร แสงกนกกุล ไม่ว่าจะเป็นต่อ น.ส.พรรณิการ์ วานิช

กรณีของพรรคอนาคตใหม่จึงแทบจะกลายเป็นวาระแห่งชาติ

 

หนทางพิสูจน์ม้า

กาลเวลาพิสูจน์พรรค

 

กรณีของพรรคอนาคตใหม่กำลังจะกลายเป็นกรณีศึกษาอันสำคัญต่อเนื่องจากความพยายามในการทำลายล้าง พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และรวมถึงพรรคเพื่อไทย

เป็นกรณีว่าอนาคตของพรรคอนาคตใหม่จะเป็นอย่างไร

จะประสบกับอนาคต “ไหม้” จะประสบกับสภาพถึงระดับอนาคต “หมด” ตามความเชื่อของเครือข่ายอันเป็นกองหนุนของ คสช.หรือไม่ หรือจะสามารถดำรงคงอยู่อย่างต่อเนื่องเหมือนกับพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน อันกลายมาเป็นพรรคเพื่อไทย

คำถามเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะพุ่งตรงไปยังนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล น.ส.พรรณิการ์ วานิช เท่านั้น หากแต่ยังเป็นคำถามอันแหลมคมต่อสังคมไทยอีกด้วย

การอยู่หรือการยุติของพรรคอนาคตใหม่จึงมีความหมายและมีความสำคัญ